วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โลก"สวย"ด้วยมือ..แพทย์..

เมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับเจเจ้สตอฟนิดหน่อย เจเจ้ยังคงน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม ขอบคุณคะสำหรับคำแนะนำและกำลังใจเจ้าคะ ขอเป็นกำลังใจให้เจเจ้สตอฟเหมือนเดิม เป็นไอดอลที่น่ารักวางตัวดี ไม่ได้อวยเพราะความหลงไหล แต่สำหรับภาระหน้าที่อะไรหลายๆอย่างแล้ว ได้เห็นความเค็มเอ๊ยความน่ารักของเจเจ้จริงๆ เจเจ้ขยันมาก หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด คือจับอะไรได้ขายแหลกว่างั้น.. ลองดูจาก IG เอาละกัน จากแบรนด์สุขภาพความงามเริ่มๆขายของแฟชั่นและเสื้อผ้า สรุปว่าเจเจ้ขายโม๊ดทั้งสุนัขและนาฬิกา ขนาดกรวยจราจรยังพรีเซนท์ได้ละกัน เห็นคลิปรายการย้อนหลังก็เลยเอาไปแปะเพิ่มเติมไว้ที่Stop Stop Stop~ ใครยังไม่ได้ดูวิจารณ์ส่งเดชก็ลองกดไปดูรายการย้อนหลังของเจเจ้นะ  
 หลังจากคุยก็เลยมานั่งเสริชข้อมูลเรื่องศัลยกรรม แปลกแต่จริงเนาะ ค่านิยมมันหมุนวนทุกยุคทุกสมัย ได้อ่านข่าวเยอะแยะทั้งที่เสียชีวิตบ้าง ทั้งที่เกิดผลเสียกับร่างกายบ้าง บางคนก็ตาบอด เนื้อเน่า ฯลฯ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าถึงจะมีข่าวด้านลบออกมาตีแผ่ยังไง คนที่หลงเข้ามาในกระแสนี้ก็พาตัวเองเข้ามาจนได้อยู่ดี ข้าน้อยก็ไม่ได้แอนตี้ดอกไม้พลาสติค อย่างที่เคยบอกว่าชอบดูชอบชมมากกว่า ฝีมือหมอไทยจริงๆเลิศนะเกาหลียังบินมาโมบ้านเรา แต่คนในบ้านเราดิ..กลับบินไกลไปเกาหลีซะงั้น..

โดยส่วนตัวข้าน้อยแล้วตอนแรกหลังจากประสบอุบัติเหตุไม่คิดจะทำอะไรเลย เหตุผลหลักคือพอหมอบอกว่าจะใช้ชีวิตได้อีก2ปี ใจก็คิดว่าถ้าทำไปแล้วต้องตายอยู่ดีจะทำไปเพื่ออะไรเสียดายเงิน เก็บไว้จัดงานศพให้ตัวเองจะดีกว่า ขนาดหมอแนะนำให้สแกนให้ผ่าสมองก็ยังไม่ทำ.. ส่วนตัวแล้วเห็นคนไข้เคสก่อนหน้าผ่าตัดแล้วเอ๋อสุดท้ายก็ตายอยู่ดีเลยทำให้คิดเยอะ เพราะสมองเป็นอะไรที่ซับซ้อนที่สุดแล้ว ถ้าผ่าข้าน้อยอาจจะตายไปนานแระก็ได้?? กรณีของข้าน้อยเป็นโรคที่เกิดจากอุบัติเหตุ จะไม่ใช่โรคที่วินิจฉัยปกติแบบหวัดหรือโรคอื่นๆ อุบัติเหตุทุกเคสถือเป็นcase studyหรือแปลอีกนัยนึงของข้าน้อยคือการเป็นหนูทดลองยาในกรณีศึกษานั่นละ..ดังนั้น..ถ้าใครจะผ่าหรือไม่่ผ่าข้าน้อยอย่ามาขอคำปรึกษาเลย ข้าน้อยช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่สามารถไปตัดสินใจแทนชีวิตใครได้ แค่บอกกรณีที่เกิดขึ้นกับตัวข้าน้อยเท่านั้นแหละ... ทุกวันนี้เจอใครก็จะให้เขาระมัดระวังในการขับขี่ให้มากๆ ทำได้แค่นั้น ถึงจะขับมาด้วยความระวัง แต่คนที่ไม่ระวังก็อาจจะมาเสยเราได้..ให้ระวังพวกที่ไม่ระวังคนอื่นด้วย (งงมั้ยเนี่ย 55+) อุบัติเหตุน่ะมันเส้นบางๆระหว่างความเป็นความตาย ยิ่งโตมาเพื่อนและคนรู้จักมากมายก็ทยอยตายหายไปจากชีวิต น่าใจหายนะ ดังนั้นข้าน้อยเลยเลิกปิดตัวเอง เลิกอยู่บนโลกนี้คนเดียวแล้ว~ ^^

เรื่องเก่าเล่าใหม่ยังไงก็คงไม่ได้โทษหมอ แต่พอมองย้อนกลับไป..แต่ก่อนข้าน้อยเวลาป่วยหรือเห็นญาติป่วยจะไม่เข้าใจว่าทำไมหมอไม่บอกตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราญาติเรา? แต่เอาเข้าจริง พอหมอบอกตรงๆ คนไข้ต่างหากจะรับได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างว่านะ มีเหมือนกันที่บางครั้งหมอก็วินิจฉัยโรคผิด..เห็นจากเคสมะเร็งของญาติๆและผู้ป่วยอื่นๆที่เคยบ่นผ่านหูผ่านตามา ..เขาไปตรวจอีกโรงพยาบาลนึงกลับตรวจไม่เจอ บางทีอาจจะต้องหาหมอเฉพาะทางน่าจะดีสุดละนะ ส่วนการบอกกับผู้ป่วยตรงๆของหมอทำให้ผู้ป่วยรับไม่ได้ช็อคตายคาเตียงหรือเสียกำลังใจตายโดยอ้อมน่าจะมีนะ เพราะโรคเอดส์ โรคมะเร็งเนี่ยอยู่ได้เพราะกำลังใจอย่างเดียวเลย  แต่ฟังหลายๆคนเล่าเนี่ย บางทีหลังจากหมอพูดแล้วมันไปกระทบจิตใจคนไข้ จู่ๆก็ตายไปซะอย่างนั้น.. แบบนี้เรียกผิดจรรยาบรรณมั้ยนะ?? แต่..ถึงข้าน้อยปากจะบอกว่ารับได้ แต่การทำใจให้ยอมรับความจริงมันปลงตกมากๆเลย ประมาณว่าหมดอาลัยตายอยาก-สิ้นหวัง ช่วงชีวิตช่วงนั้นที่ทอดทิ้งทุกอย่างกระทั่งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องส่วนตัวและการเอาใจใส่ตัวเอง อยู่กับครอบครัวให้มากทีสุด กินๆๆๆๆทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงจะมีกำลังใจที่ดีจากครอบครัวจากเพื่อนรอบข้าง แต่ลึกๆแล้วมันเสียสูญตัวตนของตัวเองไปเลย ..นี่ละChangeของจริง Life's so short! Do it! B4 Die! เป็นประโยคที่ท่องขึ้นใจไปเลย แต่ละวันที่ยังหายใจเหมือนของขวัญจากฟ้า ดีใจที่นรกยังไม่ต้องการ ให้อยู่ใช้หนี้กรรมต่อไป ..ตอนนี้ทำอะไรก็เพื่อความสุขตัวเองกับคนรอบข้าง อยากทำอะไรก่อนตายก็รีบทำ ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องเสียใจภายหลัง ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็ทำไปเหอะ เชื่อเถิด..

ไปๆมาๆพอต้องเข้ามาในกระแสความสวยความงามซะเอง สิ่งแรกที่ต้องทำคือเก็บข้อมูล ก็หาข้อมูลถามจากผู้รู้ ผู้ผ่านการศัลยกรรม เพื่อนบ้าง พี่ๆน้องๆ เดิมทีก็กลัวเจ็บตัวอยู่แล้ว แค่ดัดฟันก็เครียดแล้ว~  สาเหตุเพราะหัวฟาดถนนแล้วฟันหน้ากระืแทกถูถนนดีที่ไม่หมดปาก แต่ว่าช่วงแรกๆไปต่อฟันเฉยๆ แต่มันก็จะแตกจะหักไปบ้าง พอทำบ่อยๆ หมอก็ดูว่าเออมันเกินกำหนดเวลาที่จะตายแ้ล้ว ลองดัดฟันมั้ย เพราะถ้ามองระยะยาวแล้ว มันจะแย่นะ มันจะเจียจนกุดดัดแล้วจะทำให้มันถาวรได้นู้นนี่นั่น สุดท้ายก็ปรึกษาที่บ้านแล้วก็ดัดฟัน ตอนถอนเขี้ยวบนเขี้ยวล่าง4ซี่ กลับมาอ้อนคุณเพื่อน เจอคุณเพื่อนเล็กแทะสะกิดเข้าให้ว่าทำไมไม่ถอนไอ้ฟันหน้าเจ้าปัญหาซี่เดียวละ ถอน1รักษา4ที่เสียไป.. จากวันนั้นเองก็คิดได้..เออว่ะ... ทำไปแล้วจะไปแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรคราวหน้าต้องศึกษาข้อมูลดีๆ เจ็บตัวเสียตังค์ฟรีก็ไม่สามารถเรียกร้องทวงคืนค่าเสียหายกะหมาที่ไหนได้ นะฮ๊าาาาาา ปล่อยโง่โชว์ออฟอีกแร้วววว

ไหนๆก็ไหนๆ กำลังจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่หัวหิน ประกอบกับอยู่รอดมาหลายปีแล้ว คุณแม่เริ่มชวนไปทำจมูกอีกแระ.. ชวนมาหลายหนแล้วแต่กลัวเจ็บตัวอะนะ เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้-ทางเดินหายใจ  เวลาอากาศเปลี่ยน อากาศเย็นเวลาเป็นหอบหืดแล้วหายใจลำบากมาก คุณแม่ตั้งใจมานานแล้วตั้งแต่เด็กแต่ตอนนั้นคุณหมอแนะนำกับคุณแม่ว่ายังเด็กอยู่และกระดูกโครงหน้ายังไม่เข้าที่เข้าทาง ให้เลยวัยเจริญเติบโตไปก่อน คือไว้ทำตอนโตจะดีกว่า แต่พอโตมาอาการโรคเหล่าโรคที่เป็นมันก็ยังแย่อยู่ ปีนี้สงสัยว่าจะต้องไปเจ็บตัวเพราะจะหมดคอร์สดัดฟันแล้ว แต่เพราะการตัดสินใจเรื่องดัดฟัน เลยทำให้ต้องหาข้อมูลเยอะกว่าเดิม.. ตอนนี้กลัวหมอไร้จรรยาบรรณ เห็นข่าวเห็นคลิปด้านลบแล้วหดหู่ กลัวจมูกเน่า ถึงจะไม่ได้อยากศัลยกรรมเพื่อสวยเช้ง แต่ข้าน้อยอยากเจ็บตัวหนเดียว ขอแค่ไม่ต้องทรมานกับโรคพวกนี้อีกในอนาคตก็จะดีใจมาก... กลัวเจ็บว้อย T^T เครียด...

คนดูดีคนรวยค้ำฟ้าคนใหญ่คับแผ่นดินสุดท้ายยังไงก็ตายทุกคน ฝากถึงคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย คนเราเดี๋ยวถึงที่ตายก็ตายเองทุกคนน่ะนะ ใจเย็นๆ คิดให้เยอะๆ ให้ย้อนกลับมารักตัวเองให้มากๆ อย่างน้อยก็ควรตอบแทนพระคุณพ่อแม่และแผ่นดินก่อนตายก็ยังดี บางคนอยากตายเพียงเพราะเรื่องความรัก ลองคิดดูว่าขนาดดารา ถึงจะรวยจะสวยนางฟ้าจะหล่อเทวดาแค่ไหน พวกเขาก็อกหักผิดหวังได้ไม่ต่างกัน อย่าไปคิดสั้นอยากตายเพราะอกหักเลยคะ เป็นกำลังใจให้นะน้องๆหนูๆ รักตัวเองให้มากขึ้นอีกนิดแล้วชีวิตจะดีเอง 

ไม่ใช่รักตัวเองจนเห็นแก่ตัว แต่รักตัวเองพอที่จะเห็นคุณค่าชีวิตที่พ่อแม่ให้ เห็นคุณค่าของตัวเราเอง เพื่อที่จะไม่ทำร้ายตัวเองและมองเห็นหัวอกคนรอบข้างที่ห่วงใยเรา ยืนเคียงข้างเรา เพราะตอนที่เราคิดสั้นคิดมากคิดถึงแต่ตัวเองเราจะมองไม่เห็นคนรอบข้างเลย เกิดโลกส่วนตัวที่เห็นแต่ตัวเอง คิดแต่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว พยายามจากไปอย่างคนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าได้สติ จะเห็นว่ายังมีคนที่ยังรักและห่วงใยเรา มากกว่าคนๆเดียวที่เราจะเป็นจะตายเพื่อเขาซะอีก เพื่อนข้าน้อยบางคนเวลาเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะความรัก จะโรคจิตไปเสริชแฟนของผู้ตายว่าเขาอยู่ดีมีสุขหลังจากคนรักตายจากไปแค่ไหน แล้วก็นั่งบ่นนั่งด่าแทนเขาซะงั้น แต่ถ้ามองมุมเพื่อนก็เห็นว่าการตัดสินใจเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบแบบนั้น มันไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ควรตั้งสติ กลับมาเป็นตัวเองให้เร็วที่สุด เสียใจได้ก็เสียใจให้จบไป แล้วตั้งต้นทางเดินชีวิตใหม่ อยู่ให้เขาเสียดาย จากไปให้เขาคิดถึงจะดีกว่านะ.. อย่างน้อยข้าน้อยก็เข้าใจ เพราะเป็นคนนึงที่เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว..เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องบิวตี้ต่อ..

พอพูดเรื่องวงการแพทย์ก็เจอข่าวน้ำหนึ่งพริตตี้เพิ่งเสียชีวิตไม่เกี่ยวกับศัลยกรรมนะคะ แต่จากไปเพราะโรคร้ายคะ พอได้เห็นข่าวแล้วทึ่งเพราะเธอทนทรมานและสู้โรคร้ายไปด้วยทำงานไปด้วย น่าชื่นชมออกนะคะ ขอแสดงความเสียใจในการจากไปของน้ำหนึ่งด้วยคะ ในการหาข้อมูลสวยๆงามๆส่วนใหญ่จะดูบทความจากสาวๆในวงการพริิตตี้และสาวประเภทสองเป็นหลัก เพราะพวกนี้เขามีอะไรดีจะบอกต่อกันแต่วงการดาราคนจะมองว่าดารารับเงินค่าตัวมาขายของมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงSheคงไม่มาเปิดเผยว่าไปทำสวยที่ไหน ..เหมือนสงครามดารากับพริตตี้ในตำนาน คือมันจะมีดราม่าประมาณว่าดาราจะเป็นพวกที่มีค่าตัวสูง มีเงินไปทำสวยในราคาสูงๆมากกว่าโลว์คอร์สแบบพริตตี้อะไรแบบนั้น ดาราจะไม่ลดตัวไปทำสวยราคาประหยัดให้วงการอื่นมาเหยียดหยามว่าเป็นดาราตกอับ นอกซะจากบินไปทำไกลหูไกลปากแมงเม้าซะเลย การแบ่งเกรดเวลาออกงานของดาราและพริตตี้คือค่าตัวและออร่า ถ้าออร่าดาราน้อยกว่าพริตตี้เรียกว่าดาวดับ วงการสวยๆงามๆนี่ถือเป็นตลาดชั้นดีที่ไม่มีขาลงเอาซะเลยละ ถึงระดับดาราไม่นิยมลดตัวมาทำสวยโลว์คอร์สแต่ในทางกลับกันถ้าพริตตี้สามารถไปใช้บริการระดับเทพประมาณว่าอยากสวยด้วยมือหมอแบบดาราคนโปรด พริตตี้ระดับนั้นจัดได้ว่าแรร์ไอเท็มเพราะมีน้อยมาก 

เรื่องการดูถูกและแบ่งชนชั้นของคนไม่ว่าระดับการศึกษาสูงแค่ไหนอาชีพอะไรมันก็มีหมดนั่นละเนอะ.. การทำสวยนอกจากจะเสียตังค์ ยังต้องเจ็บตัว บางทีก็ตายฟรี ควรศึกษาให้ดี เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตตัวเราได้ดีมากกว่าตัวเราเอง คิดให้ดีๆก่อนตัดสินใจ

นอกจากดราม่านี้ก็นึกถึงข่าวเก่าๆข่าวนึงที่ฝังในหัวตลอดมาเพราะสงสารจับใจ คุณหมอที่บังเอิญซวยที่ติดเอดส์เพียบเพราะเข็มหลุดมือ ไปเล่าใ้ห้ใครฟัง แรกๆเขาจะขำเพราะไม่น่าเชื่อจริงๆ ข้าน้อยเล่าให้ผู้ใหญ่ท่านนึงฟังตอนแรกท่านก็ไม่เชื่อ ข้าน้อยเลยเอาข่าวเก่ามาให้อ่าน ท่านอ่านจบท่านก็ปลงสังเวชไปเลยคะ น่าสงสารจริงๆนะ เดี๋ยวจะแปะข่าวนี้ไว้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดมาหลายปีมากแล้วละ เพื่อให้คนรุ่นหลังๆได้ลองอ่านดู อาจจะได้แง่คิดอะไรหลายๆอย่างจากคุณหมอท่านนี้ก็ได้คะ เป็นเรื่องที่ข้าน้อยไม่เคยลืมเลยจริงๆ สู้ๆนะเคิ้บ ไว้มาบ่นใหม่เดือนหน้า ไปละฮ๊าาา/ GT

 
เมื่อหมอต้องติดเชื้อเอดส์จากคนไข้

  
เพื่อนๆหมอเคยคิดไหมครับ ว่าวันหนึ่งถ้าเรากลับมามีเชื้อ HIV เราจะสามารถทำงานหนักได้อย่างเดิมไหม แล้วเราจะมีโอกาสแพร่เชื้อให้คนไข้ได้หรือไม่ แล้วสุดท้าย เราควรจะเป็นหมอต่อไปหรือไม่

26 มค. 49 เป็นวันแรกที่ผมรู้ว่าผลเลือดผิดปกติ ซึ่งจริงจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจอยากจะเจาะเลือดเท่าไร แค่เจาะไปตามหน้าที่ แต่พี่เฉาฝ่ายการพยาบาลบอกว่า หมอต้องไปเจาะให้ครบครบนะ หมอโดนเข็มตำมา พี่ต้องเขียนรายงานให้ผู้อำนวยการมันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ยอมไปเจาะเลือดคงทำให้พี่เฉาลำบาก

เช้าวันนี้ผมก็ไปเจาะเลือดเหมือน 3ครั้งก่อน ผมเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน เข้าไปหาพี่อาร์ทให้ช่วยเจาะเลือดให้ พี่อาร์ทป็นพยาบาลสาวสวยใจดีที่น่ารกมากคนนึง ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่อาร์ทมือเบาขนาดนี้ ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ทุกอย่างช่างเป้นไปอย่างเรียบร้อย ผมฝากเลือดไปส่งที่ห้องแล็ป เดินออกจากห้องฉุกเฉินอย่างสบายใจเพราะผมคงไม่ต้องมาเจาะเลือดอีก ครั้งนี้แหละ ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บตัว

ผมกลับไปนั่งตรวจคนไข้ที่แผนกผู้ป่วยนอก วันนี้เป็นวันที่คนไข้มากจริงจริง ที่นั่งรอก็เต็ม ทั้งคนไข้และญาติก็ยืนรอกันเกะกะไปหมด วันนี้ผมคงต้องรีบตรวจหน่อยแล้ว ไม่งั้นคนไข้คงจะรอแย่ซะก่อน แต่พอตรวจไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง คุณพรชัยโทรจากห้องแล็ปว่าอยากพบผม ถ้ามีเวลาขอให้รีบไปที่ห้องแล็ปด้วย ในตอนแรกผมคิดว่าเลือดคงไม่พอ ขอตรวจใหม่ซึ่งคุณพรชัยบอกว่าขอเจาะเลือดใหม่จริงจริง แต่เหตุผลกลับไม่ใช่ คุณพรชัยบอกว่าผลมันเป็น weakly positive อยากจะขอตรวจใหม่ด้วยวิธี ELISA โดยใช้น้ำยาตัวใหม่ หลังจากได้ยินคำขอ ผมก็รีบเดินไปที่โต๊ะเจาะเลือดอย่างรวดเร็วราวได้รับคำสั่งมา ท่วงท่าผมไม่มีความกังวลใจเลยซักนิด แต่ในใจนั้นกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรอยู่รอบตัว ห้องเจาะเลือดที่คาคร่ำไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ซักคนเดียว ผมกลับมาคิดถึงคำพูดคุณพรชัยเมื่อกี๊ว่าประโยคที่พูดเมื่อครู่มันหมายถึงอะไ รกันแน่ มันน่าแปลกที่แพทย์ใช้ทุนปี 3อย่างผมไม่เข้าใจคำว่า weakly positive แปลว่าอะไร ในวินาทีนั้นผมแปลว่ามันคือ false positiveหมายความว่าคุณพรชัยคงตรวจผลเลือดผมผิด แล้วไม่มั่นใจเลยขอตรวจซ้ำด้วยน้ำยาที่ดีกว่าเก่าเพื่อจะได้ยืนยันผลให้ผม ผมเดินกลับหอพักคนเดียว แต่วันนี้มันเป็นตัวคนเ ดียวที่ไม่เหมือนทุกวัน ใจกับตัวมันไม่ได้มาด้วยกัน ขาว่าก้าวไป แต่ใจอยากเดินกลับไปถามอีกรอบว่าที่คุณพรชัยพูดมันแปลว่าอะไร ตกลงผม HIV positive หรือไม่ ผมเดินมาถึห้อง นั่งลงบนเตียง คิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดในชั่วครู่หลายสิบรอบ... ผมลืมกลับไปตรวจคนไข้ต่อ... ผมลืมไปroundเย็น... ผมไม่ได้รบโทรศัพท์ที่รพ.ตาม... ผมกำลังทำอะไรที่นี่!!!

นั่งอยู่เปล่าเปลี่ยว วนเวียนว้าวุ่น ทบทวนความหลัง ว่าเราเป็นอะไร 
เรามาทำอะไรที่นี่ เป็นหมอแล้วดีตรงไหน หากไม่เป็นแล้วเราจะทำอะไร แต่ยังไงคงไม่เป็นเอดส์ซะเอง
ผมยังนั่งสับสนอยู่บนเตียงคนเดียว ผมคิดอะไรไม่ออก แต่จริงจริงแล้วคงต้องบอกว่าไม่รู้ว่าควรเริ่มคิดจากตรงไหน ผมตัดสินใจปรึกษาเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างช้าๆ ตั้งแต่ว่าผมโดนเข็มตำนิ้วกลางมือซ้ายตั้งแต่ มิย 48 ตอนนั้นผมทำผ่าตัดappendectomy ให้กับคนไข้ผู้หญิง HIV infection อายุ 24 ปีซึ่งตอนนี้ไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ ผลการเจาะเลือดครั้งแรกของผมนั้น HIV neg ทางรพ.ก็มีguidelineในการตรวจเลือดซ้ำตอน1เดือน ,3เดือน และ 6เดือน ผมกินยาเป็นสูตร 4 ตัว กินครบ1เดือน ตรวจเลือดซ้ำที่ 1,3 เดือน ผลHIV ก็ยัง neg อยู ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงรอดแล้วล่ะ เพราะคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูงก็บอกว่า บางคนไม่กินยายังไม่เป็นเลย แล้วนายจะเป็นได้ยังไง ผม consult พี่infectious ในรพ. เค้าก็บอกว่าตั้งแต่เค้าดูมาเค้ายังไม่เคยเจอ HIV positive จากโดนเข็มตำเลย่ ที่สำคัญที่สุดคือเลยwindow period ไปแล้วซึ่งผมคงสบายแล้วล่ะ

แต่บางสิ่งในชึวิตมันกลับไม่เหมือนในตำรา เราเดินไปตรงๆแต่เราก็หลุดจากเส้นทางได้ถ้าเราลืมดูว่าจริงจริงแล้วมันเป็นท างโค้ง ที่ในหนังสือเค้าบอกว่าถ้าเกิน 3เดือนจากการcontactเชื้อ แสดงว่าปลอดภัย แต่จริงจริงเค้าศึกษาใน normal population ไม่ใช่คนที่กิน ARVครบ1เดือน จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลHIVจึง positive ที 6 ่เดิอน (เค้าถึงให้เจาะเลือดที่ 6เดือนไงล่ะ)

ผมคุยกับเพื่อนอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะไปหาที่เจาะเลือดในรพ.เอกชนเพื่อยืนยันผลการตรวจ ที่นั่นทำให้ผลได้รับคำตอบ คำตอบที่เป็นความจริง ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ความจริงที่ผมมี HIV

ผลการยืนยันสรุปว่าผมติดเชื้อจริง... ติดเชื้อจริงจริง.... ติดเชื้อจริงจริงเหรอ..... ผมถามประโยคนี้กับตัวเองในทุกๆก้าวที่เดิน ผมเดินกลับมาถึงรถ ผมขับรถไม่ไหวแล้ว ตาผมมองไปข้างหน้าแต่กลับมองไม่เห็นแสงไฟมาจากที่ใด ผมสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผม มีคนเป็นอย่างผมอีกหรือไม่ ผมทำผิดอะไรไว้สิ่งนี้จึงเกิดกับผม ผมควรจะโทษตัวเองที่เอาเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง หรือว่าโทษพ่อแม่ทีผลักดันจนผมได้มาเรียนหมอ หรือว่าโทษกรรมเก่าที่คนเราชอบอ้างถึงแต่ไม่มีใครตอบได้ว่ามันคืออะไร ผมนิ่งเงียบ เพื่อนผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปลอบได้ยังไง..........ผลกลัวตายครับ........ผมเพิ่งรู้สึกจริงจริงกับตัว ว่าผมกลัว ถึงแม้เรารู้ว่าซักวันนึงเราตองตาย แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผมเพิ่งอายุ 26 ผมยังไม่อยากตาย ผมกลัว PCP ผมไม่อยากเป็น Crypto meningitis ผมกลัวแม้แตเป็น PPE ..ผมกลัว

ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นเล่นอย่างที่เราเคยเข้าใจซะแล้ว พวกเราอยู่กับความเจ็บป่วยมานาน สิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าจริงจริงเรารักษาคน เราดูแต่เจ้าของร่างกายโดยที่เราลืมรักษาจิตใจที่ร่วมมาด้วย ผมย้อนคิดไปถึงอดีตที่ดูแลคนไข้ มีคนไข้จำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิต แต่เรากลับบอกพวกเขาสั้นๆว่า คุณป้าเป็นมะเร็งครับ คุณติดเชื้อ HIV ครับ มันพอแล้วหรือหรือเปล่า ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อนจนกระทั่งวันที่เจอกับตัว การที่รู้ว่าเราต้องตายถึงแม้จะอีกนาน แต่มันก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุขสักนิด ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยดูสวยงาม ตอนนี้มันไม่มีความหมาย ผมเดินผ่านมันไป ดูเหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น

ผมตัดสินใจบอกแฟนผมเรื่องผลเลือด ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้กับเค้าได้ ผมชอบเค้ามาก มากจนไม่สามารถเอาเค้าเข้ามาอยู่กับตัวผมได้อีก ผมเป็นแฟนกับเค้ามาเกือบสามปี เดือนหน้าก็จะเป็นวันครบรอบสามปีพอดี ช่วงที่ผมไปใช้ทุนต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนนี้ใช้ทุนเกือบครบแล้วกลับต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมบอกกับเค้าว่า ผมขอโทษ ตอนนี้ผมไม่ได้มีทุกอย่างพร้อมเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ขาดไปไม่มีใครมาทำให้เป็นเหมือนเดิมได้ ผมชอบ ... มากแต่เราคงไ่ม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้หรอก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่า ความรู้สึกของหมอกับคนไข้ที่ติดเชื้อ มันทำให้ผมรังเกียจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องของ...เป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ เธอโทรมาคุยกับผมนานนานครั้ง ห่างขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้บอกเลิกกันอย่างเป็นทางการทำให้ผมเข้าใจในการในการตะดสินใ จของเขา และก็ไม่เคยโกรธเขาแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกของผมต่อ....ก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไป 
ความสดใส ไม่กลับมา
ความรัก กลับจากลา
เพราะเพียงว่า เราเปลี่ยนไป

วันรุ่งขึ้น ผมเริ่มรู้ตัวเองว่าผมไม่สามารถ แบกปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้บนบ่าตัวเองได้ ผมโทรไปหาพี่เนศ่ (เป็นพี่medที่ดูแลบุคลากรในรพ.ที่โดนเข็มตำ) พี่เนศเค้าตกใจมาก เค้าถามถ้าพอมีเวลาไปหาเค้าที่บ้านตอนเที่ยงหรือไม่ พี่เนศอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ในวินาทีนั้นผมตื่นเต้นมาก ผมอยากให้พี่เค้าบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผลการตรวจผิดพลาด หรือบอกว่าใช้น้ำยาผิด หรืออะไรก็ได้ ผมไม้รู้ว่าผมจะยืนบนขาคู่เดิมได้อีกนานแค่ไหน ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเหนื่อยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเที่ยง ผมก็รีบไปพบพีเนศ ตามที่นัด บ้านพักของพี่เค้าอยู่ในรพ มีหมาพุดเดิ้ลคอยให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี พี่ชวนผมให้นั่งรอที่โซฟา ผมรู้สึกเหมือนผ่อนคลาย พี่เค้าจึงขอให้ผมเล่าอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผมค่อยๆเล่า ค่อยๆเรียบเรียงเรื่องทุกอย่่างให้พี่เค้าฟัง พี่เนศมีทีท่าตั้งใจมาก แต่ไม่ได้ทำหน้าตกใจหรือตื่นเต้นมากเกินไปนัก หลังจากผมเล่่าจบ ผมรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ของผมไม่เสียเที่ยวเลยจริงจริง พี่เค้าเป็นทั้งหมอและเป็นทั้งพี่ที่มีแต่ความห่วงใย และความปรารถนาดีมากมาย ผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกได้ว่ามันมีรัศมีออกมาจากตัวเค้าจริงจริง ในชีวิตนี้ผมเคยได้สัมผัสแบบน้้มาจากพ่อแม่เท่านั้น และยังไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่เป็นห่วงเราถึงเพียงนี้ เรื่องของผลตรวจนั้นพี่เค้าอยากให้ทำ lab confirm ก่อน เพราะว่าELISA เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการวินิจฉัยได้ ส่วนเรื่องเพื่อนและคนรู้จักอย่าเพิ่งบอก และอย่าเพิ่งบอกพ่อแม่เพราะว่าผลยังไม่แน่ชัดเดี๋ยวท่านจะตกใจ

ผมทำตามที่พี่เค้าบอกทุกอย่าง ผมรูสึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนที่มีสติมายืนอยู่ข้างๆผม ผมเดินไปเจาะเลือดเป็นครั้งที่สาม แต่คราวนี้ต่างจากครั้งอื่น เพราะผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร ผม offเวรของทั้งอาทิตย์ตามที่พี่เนศสั่ง เดินกลับไปที่ห้องพัก นอน และทำใจให้สบายเพื่อรอผลตรวจซึ่งพี่่เค้าจะโทรมาบอกเองว่าผลเป็นอย่างไร

ผมยังคงนอนอยู่ที่เตียง นอนนิ่งอยู่นาน แต่ในใจผมไม่มีหยุดคิดซักวินาทีเดียว ประมาณบ่ายสาม ผมลุกขึ้นมานั่ง หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเพื่อนของผมว่าผมควรทำยังไงดี ผมอยากโทรไปหาพี่เนศว่าผลเป็นอย่างไร แต่ไมากล้าเพราะกลัวว่าพี่เค้าจะยุ่งอยู่ เพื่อนผมบอกว่าให้รอไปก่อน พี่เค้าบอกแล้วว่าจะโทรบอกเอง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใจเย็นรออีกหน่อย ผมนั่งรอ นอนรออยู่นาน จะโทรปรึกษาใครก็ไม่ได้ ผมรู้สึกตัวคนเดียว ผมมองออกไปนอกห้อง ผู้คนที่เรารู้จักมากมายเดินผ่าน....ไม่มีใครคุยได้เลยจริงจริงหรือนี่...ไม่มีเ ลยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์เริ่มหรี่แสงลง ผมรู้สึกเหมือนว่าความหวังผมกำลังจางหายไป ผมเหนื่อย ผมถอนหายใจ เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พี่เนศโทรมาพอดี พี่บอกว่ารอที่ห้องประชุม พี่อยากคุยด้วย ผมเดินลงจากห้องอย่างช้าช้า กลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญ ผมไม่แ่นใจว่าผมจะรับไหวรึเปล่าถ้าพี่เค้าบอกผมว่าผมติดเชื้อ คงไม่มั้ง ชีวิตคนเราต้องมีหวัง ผมเดินไป กลัวๆกล้าๆ แต่ใจมันบอกให้เดินไปเพราะมันอยากรู้ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุม พี่เนศอยู่กับพี่ปกซึ่งเป็นพี่ psychiที่รพ. เค้าถามผมถึงสภาพทั่วไปของผมวันนี้ ผมไม่อยากตอบแล้วละ ผมอยากรู้เรื่องผลเลือดมากกว่า "ผลมันเป็นpositiveนะ" พี่เนศบอก หลังจากนั้นพี่เค้าพูดอะไรต่อก็ไม่รู้ ผมหูอื้อไปหมดแล้ว ผมเพียงแต่พยักหน้าเมื่อพี่เค้าพูดจบประโยค คำตัดสินมันมาแล้วล่ะ ผมบอกกับตัวเอง พี่เค้าบอกว่าเค้ารู้ผลตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ไม่ได้บอกเพราะว่าพี่ไม่สามารถปลีกเวลามาบอกได้ ซึ่งจริงจริงเพื่อนผมก็รู้้ตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่พี่เนศสั่งห้ามบอก้เพราะกลัวบอกไม่ถูกวิธี

เรื่องของผมเอง ผมต้องรู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ ผมถ่ามตัวเอง ผมเสียใจที่เพื่อนสนิทของผมหลอกผมว่าไม่รู้เรื่อง โลกนี้ให้อะไรกับผมบ้างที่ทำงานหนักและได้เงินเดือนมา 10000 บาท ผมเข้าใจตัวเองว่าผมฉลาดที่เอ็นทรานส์ติดหมอ แต่จริงจริงผมว่าผมโง่มากกว่าที่คิดเรียนหมอ ชีวิตหมอไม่ได้สวยหรูเหมือนที่วาดไว่ซะแล้ว พวกคนภายนอกที่อยากให้ลูกมาเรียนหมอจะรู้มั้ยว่ามีผมคนนี้ที่อาจจะตายเพราะม าเป็นหมอ ค่ายอยากเป้นหมอของโรงเรียนแพทย์เคยพูดหรือไม่ว่าคุณมาเรียนหมอก็เหมือนไปเท ี่ยวผู้หญิง เพราะไม่ว่าคุณจะใส่ถุงมือหรือถุงยางก็ยังติดเอดส์ได้ ผมโกรธตัว้เอง ผมโกรธเพื่อน ผมโกรธทุกคน โกรธสถาบัน ผมพาลแล้วล่ะ ผมเพิ่งรู้สีกว่าผมพาลแล้วล่ะ ผมนั่งลงเก้าอี้ในห้องนอนของผม แต่ครั้งนี้ผมร้องไห้ ผมจำไม่ได้เลยว่าผมร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร ผมเป็นคนใจแข็งมาก เพื่อนผมมักชอบว่าผมว่าเป็นคนไม่มีหัวใจ เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรผมก็ยังนั่งเฉย เหมือนกับไม่มีปัญหาอะไร แต่วันนี้ผมรับไม่ไหวแล้วล่ะ ผมร้องไห้โฮอย่างสุดตัว ร้องอย่างสุดเสียงโดยไม่อายใคร ผมมองไปในกระจก ผมเพิ่งเคยเห็นน้ำตาตัวเองครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้แต่จำความได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตผมจะมีวันนี้

อยากจะร้องให้สุดเสียง 
หวังแค่เพียงเปลี่ยนเป็นฝัน
แต่ก็รู้ว่าไม่มีวัน
เพราะว่าฝันไม่เคยทำให้เจ็บลงไปลีกสุดในหัวใจ

เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ตอนนี้เพื่อนผมประมาณ 6 คนที่ใช้ทุนที่เดียวกันรู้หมดแล้วล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ถึงผมไม่ได้บอกด้วยปาก แต่จากสีหน้าผมทุกคนคงรู้ว่าเกิดสิ่งร้ายแรงกับผมเป็นแน่ ผมขอให้เพื่อสนิทผมเล่าให้กับเพื่อนบางคนที่อยู่ด้วยกัน เพื่อนๆผมทุกคนดีกับผมมาก ให้กำลังใจผมอย่างดี มันทำให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆก็ยังมีเพื่อนเป็นห่วงเราอยู่

ผมขับรถออกไปจากรพ.ที่ผมอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อไปยังห้องแล็ปแห่งหนึงที่ต่างอำเภอตามคำแนะนำของพี่เนศ มันลักษณะเหมือนคลีนิดที่อยู่ในซอยลึกพอควร ผมเข้าไปก้บเพื่อ พบผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ซึ่งพบคาดว่าคงเป็นเจ้าของ ผมบอกเค้าว่ามาเจาะ CD4 และ viral load พี่เค้าทำสีหน้าตกใจไปชั่วครู่ แต่ก็พูดคุยกับผมอย่างดี สิ่งนี้ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ หรือ แพทย์ จริงจริงแล้วคุณค่าของอาชีพอย่างพวกเรา มันอยู่ที่จรรยาบรรณ มากกว่าระดับความรู้ มากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก และมากกว่าเงินทองที่เราประเมินจากสิ่งที่เราสัมผัสได้เสียอีก

ผลเลือดผมออกมาแล้ว CD4 455, 20% และ viral load 610, log 2.79 ถึงตอนนี้ผมหมดสิทธิ์ deny แล้วครับ ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่กับผมตั้ง610 ตัวต่อเลือด 1cc ชีวิตตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนไปอย่างถาวรแล้ว ผมต้องระวังเลือดของตัวเองไม่ให้ไปโดนอื่น เรื่องแฟนคงหมดโอกาส คงไมมีใครคิดจะมีแฟนเป็นคนติดเชื้อหรอกใช่มั้ยครับ

ถึงวันนี้ผมมองย้อนไปในวันที่เกิดเหตุ 6 เดือนก่อน้ผลเลือดจะผิดปกติ วันนั้นผมง่วงมาก ผมหลับไปและโดนตามมาทำ appendix ตอนเที่ยงคืน ซึ่งยังไงก็คงต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่สุดท้ายผมก็ทำเข็มทิ่มตัวเอง .....ตกลงใครผิด...ผมทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้ ง ผมผิดหรืือเปล่าที่ประมาทเลินเล่อ แต่ผมทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย และต้องอยู่เวรต่ออีก ถ้าชีวิตผมเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องมีซักวันที่ต้องโดนเข็มทิ่มแน่แน่ 
หรือว่าผมควรจะโกรธคนไข้ ถ้าเขาไม่ติดเชิ้อ เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ยังไงก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมคงไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ถึงตอนนี้ผมไม่ได้โกรธใครเลย เพราะผมถามตัวเองว่าถ้าผมย้อนกลับไปวันนั้น ผมจะยังผ่าappendix ในคนไข้ติดเชื้ออีกหรือไม่ คำตอบก็คือผ่า เพราะถ้าไม่รักษาเค้า แล้วใครจะไปรักษาเค้า เราเกิดมาเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก ถึงแม้เราจะได้เงินตอบแทน (ในบางครั้ง) แต่สิ่งที่เราทำลงไปแลกมาได้ด้วยชีวิตของคนไข้ ผมมองว่ามันน่าจะคุ้มนะ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยอนาคตของผมเอง

ผมเคยได้ยินเรื่องค่าตอบแทนถ้าเกิดบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อที่เกิดจากการ ทำงาน ประมาณ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในกรณีของผม มีผลเลือดของรพ.ที่ปกติแล้วเปลี่ยนมาเป็นติดเชื้อ อย่างน้อยน้อยผมก็ได้มาเป็นค่ายาในอนาคตเพราะคงมีวันนึงที่ CD4 ต่ำกว่า 200 ผมถามเรื่องนี้กับพี่เนศ พี่เค้าบอกว่าเค้าก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องนี้มาก่อน ผมกับพี่เนศจึงขึ้นไปปรึกษากับผู้อำนวยการ ท่านแสดงความเห็นอกเห็นใจผมเป็นอย่างมาก และก็ยินดีจะช่วยดำเนินการให้ แตมันอาจไม่ง่ายอย่างที่ผมคิด ท่านแนะนำว่าให้ลองคิดดีดี เพราะการจ่ายเงินของระบบราชการล่าช้าและซ้ำซ้อนมาก ชื่อของผมจะต้องโดนเสนอไปถึงกระทรวง เงินเป็นล้านราชการคงไม่ยอมให้คุณง่ายๆหรอก และน่าจะมีการสอบด้วย ถึงตอนนั้นจะมีคนจำนวนมหาศาลรับรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมทำใจได้หรือ้เปล่า ถ้าเพื่อนผมรู้ว่าผมติดเชื้อ จะมีกี่คนที่คิดว่าผมติดเชื้อจากการทำงาน ถ้าอาจารย์รู้ ผมจะได้มีโอกาสเรียนต่อหรือไม่ แต่ที่แน่แน่ถ้าคนไข้รู้ ไม่มีทางที่พวกเค้าจะมาตรวจกับเราเป็นแน่

คำตอบก็คือ ไม่ ผมทำใจไม่ได้ ผมลองกลับมาคิดดู เงินล้านน่ะผมใช้เวลาเท่าไรในการหามาด้วยตัวเอง ถ้าวันนี้ผมลาออก ไปทำงานรพ.เอกชน แค่อยู่คลินิกประกันสังคม ภายในปีเดียวผมก็หาได้แล้ว มันจะคุ้มหรือที่ผมขายข้อมูลตัวเองซึ่งเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ผมหาได้ใน 1 ปีเทียบกับชิวิตที่เหลืออยู่อีกหลายสิบปี คิดยังไงก็ไม่คุ้ม

ผมรู้สึกชีวิตผมมันน่าตลก คนเค้าว่าคนที่มาเรียนหมอเป็นคนที่เรียนเก่งอันดับต้นต้นของประเทศ แต่สุดท้าย หมอกลับเป็นอาชีพขาดคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำงานก็หนัก ชีวิตของพวกเราเมื่ออยู่ในสายงานรัฐบาลก็มีแค่พอกิน ไม่ได้อยู่สบายเหมือนกับคนอื่นเค้า พอเกิดเรื่องเราก็ไม่มีโอกาสได้อะไรเลย...งั้นเหรอ

หากรักสบายซักนิด 
นึกคิดทำขี้เกียจ
ถึงตอนนี้คงไม่เครียด
ที่กระเดียดมาเป็นหมอ

เวลาย้อนกลับไม่ได้ 
สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ
หากยังนั่งเพียงวอนขอ
ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด

ชีวิตในวันนี้ 
โทษใครดีที่เปลี่ยนไป
เพราะเราหรือเพราะใคร
หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา

ทุกคนมีความทุกข์ 
แต่ถ้าลุกมารักษา
อย่ายอมแพ้กับชะตา
เพราะว่าข้าคือคนจริง

3 อาทิตย์ผ่านไป สภาพจิตใจของผมดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่ายังไม่เหมือนเดิมนัก แต่ว่าอย่างน้อยผมก็รูว่าผมยังมีคนเป็นห่วงและให้กำลังใจอยู่อีกมาก ที่สำคัญวันนี้เป็นวันศุกร์ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวร ผมจะได้กลับบ้านซักที เผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น

ผมไม่ได้กลับบ้านมาซัก 2 เดือนแล้ว พ่อแม่ผมดีใจที่วันนี้ผมจะกลับและอยู่กับที่บ้านในวันหยุด แต่การกลับบ้านครั้งนี้ของผมไม่เหมือนทุกครั้ง ผมวางแผนที่จะบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับคนที่ผมรักที่สุดซึ่งก็คือพ่อแม่ของผม ตลอดทางระหว่างผมขับรถกลับกรุงเทพ ผมคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกโดยที่เจ็บน้อยที่สุด แต่ก็คิดไม่ออก เพราะว่าเรื่องของผมมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ผมไมอยากให้พ่อแม่เป็นเหมือนกับที่ผมที่รู้ข่าวในช่วงแรก

คืนวันเสาร์ ผม พ่อแม่ และน้องน้อง นัดกันไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสมัครสมานสามัคคีกันดี ผมทำตัวเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราคุยกันหยอกล้ออย่างเคย ทุกคนต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แม่ถามผมว่า ทำงานเหนื่อยมั้ย คนไข้เยอะหรือเปล่า อย่ามัวแต่หาเงินนะ กลับมาบ้านบ้างก็ได้ ผมยิ้มกลับให้แม่ แต่หัวเราะไม่ออก คำถามของแม่มันช่างเจ็บปวดเหมือนกับจะบังคับให้ผมบอกข่าวร้ายตรงนัน ภายในตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อรอล้นออกมา ผมตอบแม่ว่า ผมสัญญา เพราะต่อไปนี้ผมคงไม่ทำงานหนักอีกแล้ว แม่ฟังผมแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนวันอันแสนสุขได้ผ่านไป ความจริงที่กำลังจะปรากฎต่อหน้าพ่อแม่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะรับไหวหรือไม่ ผมสัญญากับพี่เนศแล้วว่าผมจะบอกเมื่อผมพร้อม เพราะว่าพ่อแม่ก็คงมีอาการเหมือนกับผมในช่วงแรกที่ทราบข่าว ผมจำเป็นต้องมีสติและเป็นผู้คุมสถานการณ์ให้ได้ ผมพร้อมแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้ว วันนี้เราจะเผชิญหน้ากับความจริง

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ กดล็อกประตู นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน พ่อแม่ผมเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะรู้ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น "ผมติดเชื้อ HIV" ผมบอกพ่อแม่เป็นประโยคสุดท้ายว่าผมติดเชื้อ HIV ในตอนนั้นแม่ผมล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้และสับสนมากในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อผมยืนนิ่ง ตกใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก้มลงไปประคองแม่ของผมขึ้นมาจากพื้น แต่แม่กุมมือผมแน่นทั้งสองข้าง โอบกอดรัดตัวผมแนบสนิท เหมือนกลัวว่าใครจะพรากของที่รักที่สุดไป "แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่บังคับขู่เข็ญให้เรียนหนังสือ แม่เพียงหวังจะให้ลูกได้ดีเมื่อโตขึ้น แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับลูก แม่ขอโทษ" แม่ผมพูดแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อน แม่คิดว่าผมกำลังจะตาย แม่ผมคิดอย่างนั้น ผมค่อยๆอธิบายเรื่องราวของโรคนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่สนใจมาก ถามทุกประเด็นที่ท่านสงสัย แม่ถามผมว่าลูกจะลาออกไหม กิจการที่บ้านมันมากพอที่ผมจะไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต ผมไม่รู้หรอก ผมคิดไม่ออก ผมไม่กล้าตัดสินใจ

สุดท้ายผมก็ได้ทำบาปครั้งใหญ่่คือสร้างความทุกข์อย่างใหญ่หลวงให้กับพ่อแม่ คืนนั้นแม่ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตผมและครอบครัว แต่ผมก็ดีใจเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนมาเดินอยู่ข้างๆผมอีกสองคนแล้ว

คืนวันอาทิตย์ ผมเก็บของเตรียมกลับไปต่างจังหวัดเหมือนเคย แม่เดินเข้ามาพูดคุยกับผมตลอด ผมจำได้ดีว่าคำพูดทุกคำของแม่ที่พูดกับผมตอนนั้นมันกลั่นออกมาจากความห่วงใย ที่สุดที่คนคนหนึ่งจะให้กับคนคนหนึ่งได้ แม่เป็นห่วงผมในทุกเรื่อง แม่ถามทุกคำถามที่แม่นึกออก ผมหัวเราะให้แม่ ผมหัวเราะครั้งแรกของผมให้กับแม่ ผมรู้สึกเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมกลับไปทำงานตามปกติ ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก ผมบอกทุกคนที่ควรจะรู้จนครบแล้ว รู้สึกเหมือนหน้าที่ผมลุล่วงไปด้วยดี วันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นกว่าทุกวัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องของผมที่พร้อมจะเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น

แต่เรื่องของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา ผมได้รับการตอบรับเพื่อเป็น resident ศัลยกรรมของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พี่ที่แผนกธุรการโทรมาทวงเอกสารที่ผมยังส่งไม่ครบ เพราะว่าถ้าเกินกำหนดนั่นแปลว่าผมสละสิทธิ์ เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหม่ให้ผมจริงๆ คำถามคือศัลยแพทย์ที่ติดเชื้อทำผ่าตัดได้หรือเปล่า ผมสับสน ไม่กล้าตัดสินใจ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืน ผมอยากเรียนศัลย์ แต่ไม่รู้ว่ามัน fair กับคนไข้หรือเปล่าHuh

วันรุ่งข้นผมเดินไปหาพี่เนศและพี่ปก ผมถามคำถามนี้กับพี่ๆ โดยหวังว่าผู้ใหญ่น่าจะมองในกรอบที่กว้างกว่าเด็ก พี่เค้าตอบว่ามองเผินๆอาจจะใช่ แต่พี่ว่าไม่ เพราะเวลาเราผ่าตัดเข็มเราจะเลอะเลือดคนไข้ตลอด เวลาพลาดโดนเข็มตำ เลือดของคนไข้ก็จะมาเปื้อนเราทำให้เราติดเชื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าเข็มเปื้อนเลือดเราเมื่อไร เราคงเปลี่ยนเข็มนั้นเพราะมัน contaminatedไปแล้ว เราคงไม่เอาเข็มที่เปื้อนเลือดเราไปเย็บต่อ ส่วนในกรณีที่ว่ากลัวเลือดหยดลง field คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กรรไกรหรือมีดมาตัดนิ้วเรา เลือดถึงมากพอที่จะตกลงไปได้ ผมคิดดูมันก็จริง แต่คนไข้จะยอมรับเหรอ ไม่มั้ง ผมว่าไม่ ใครจะยอมให้หมอที่ติดเชื้อมาผ่าตัด

อนาคตของผมมันผันแปรไปเป็นเพราะผมอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเพราะว่าเข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 ccนั้น แต่ผมก็ยังดื้อด้านกลับไปหาสิ่งนั้น ผมถามตัวเองว่าผมทำไปเพื่ออะไร คุ้มจริงจริงเหรอที่จะกลับไปเรียนหนัก ทำงานหนัก ศัลยกรรมมันเหนื่อยนะ มันจะทำให้ขีวิตมันแย่ลงหรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เราจะมาคิดแบบเดิมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ใจผมตอบว่าไม่ใช่ ตัวผมเปลี่ยนไป แต่ใจยังรักเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นหมอศัลยกรรม ผมว่าตัวผมมีคุณค่า ผมคิดว่าชีวิตในอนาคตของผมจะไม่อยู่อย่างคนขลาด อยู่อย่างเจียมตัวว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่คิดทำอะไร ผมเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่มาพร้อมกับผม ผลเลือดที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ชีวิตผมจบลง ผมไม่ยอมแพ้เข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 cc ในคืนนั้นแน่ ชีวิตที่เกิดมาตั้ง 20 กว่าปียังไงก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์ในช่วงวินาทีเดียว ไม่มีทาง

ลุกขึ้น ยืนหยัด กัดฟันสู้
กลับมองดู ความฝัน ครั้งหลัง
วันนี้ วันใหม่ ผมมีพลัง 
ไม่มีใคร มารั้ง ผมต่อไป

ไปข้างหน้า เจ็บขา ได้บางคร้ง 
เหนื่อยก็นั่ง พักใจก่อน ให้สดใส
พรุ่งนี้มา เราสู้ใหม่ ไม่อ่อนใจ
ไม่ยอมให้ สิ่งไหน มาทำลาย

ยิ้มหัวเราะ ต่ออุปสรรค ที่เกิดขึ้น 
เพราะว่า-ึง จะไม่เกิด เป็นซ้ำสอง
ความสำเร็จ ในวันหน้า จะมากอง
เหล่าเพื่อนพ้อง ร่วมสรรเสริญ ในโชคชัย

สิ่งที่ผมได้มาจากประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของผมคือ "มันสมอง" มันสมองที่ไม่ได้หมายถึง IQหรือความรู้พิเศษอะไร แต่เป็นมันสมองที่ช่วยให้ผมลองมองสิ่งของเดิมรอบตัวผมด้วยความรู้สึกใหม่ ว่าการตีค่าว่าของหนึ่งชิ้น หรือคนหนึ่งคน ขึ้นกับอะไรกับ ในวันแรกที่ผมรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมรู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีค่า เป็นของมีตำหนิ ซึ่งคงเป็นตราบาปที่ติดตัวผมไปจนตาย แต่ในวันนี้ผมไม่ได้มองแบบนั้น ค่าของคนไม่ได้เป็น่ทีสิ่งที่คุณเห็นด้วยตา แต่เป็นสิ่งที่คุณเห็นได้ด้วยใจ มีครั้งหนึ่งที่ผมดูแลคนไข้ที่เข้ามารักษา cholangiocarcinoma หน้าที่ของผมคือconsult intervention เพื่อ cholangiogram with PTBD บอกsurgery เพื่อผ่าตัด บอกmedicine เพื่อช่วย preop หน้าที่ของผมคือบอกคนอื่นให้ช่วยรักษาคนไข้ของผม ผมทำไปตามหน้าที่ ก็เราไม่ใช่ specialistนี่ เราก็ต้องทำแบบนี้แหละ แต่ในวันที่คนไข้กลับ คุณลุงแกให้เงาะผม 3 ลูก มังคุด 2 ลูก ใส่ถุงพลาสติกสีแดงมาให้ผม คำถามของผมคือนี่อะไร เทียบกับ 300 บาทที่เป็นค่า DF ของโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้หรอก แต่ผมได้คำตอบเมื่อผมเงยหน้ามองแก เห็นหน้าคุณลุงที่มแต่คำขอบคุณสุดพรรณา แกบอกผมเพียงขอบใจ ทำให้ผมได้คำตอบว่า นี่มันเรียกว่า "ใจ" ใจที่ไม่ได้ซือ้ให้กันได้ แต่คุณให้คนอื่นได้ไม่มีวันหมด ไม่มีวันจาง แม้ว่าชีวิตคุณจะเป็นยังไง

ผมกลับมาที่กรุงเทพ ชีวิตวันหยุดก่อนการเรียนต่อทำให้จิตใจผมสบายขึ้นมาก ผมเลิกคิดเรื่องการลาออก ผมไม่คิดว่าร่างกายของผมจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน ผมใช้ "ใจ" ของผมเป็นตัวตัดสิน มีเพื่อนผมหลายคนบอกให้ผมไปเรียนสาขาวิชาอื่นที่ไม่หนักมาก จะได้พักผ่อนมากๆเนื่องจากกลัวผมจะทำงานไม่ไหว แต่ผมบอกพวกเขาไปแล้วว่าผมไม่ได้ป่วย จริงอยู่ที่ผมติดเชื้อ แตว่าผมไม่ได้ป่วย ผมไม่ได้ poor insight หรือยังอยู่ในช่วง deny แต่อย่างใด แต่ผมลองเปรียบเทียบความรู้สึกว่าการที่ผมได้เรียนสิ่งที่ผมอยากเรียน ทำงานในสิ่งที่ผมอยากทำ เทียบกับการที่ผมทำงานอย่างเจียมเนื่อเจียมตัวว่าตัวเองป่วย ตอนบ่ายก็กลับบ้านไปนอนพักผ่อนแล้วก็นอน ผมทำใจไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนกองทุกข์และความเศร้า ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวของผมเอง ผมอยากออกไปทำงาน ไม่อยากอยู่อย่างคนป่วย ถ้าเรามองเปลี่ยนมุมคิดใหม่ว่าการควบคุม CD4 คือการควบคุม DTXล่ะ มันทำใ้ห้ชีวิตเราดีขึ้นบ้างไหม จะเทียบว่าHIV กับ DM เหมือนกันรึเปล่า ผมว่ามันก็ใกล้เคียง CD4 นั้นมีขึ้นมีลงตลอด เหมือนกับระดับน้ำตาลของคนไข้เบาหวาน อยู่ดีดีมันก็ขึ้น เจาะอีกทีก็ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณเป็นคนไข้ที่กินยาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ หรือฉีดยาเป็นประจำ เจาะระดับน้ำตาล (หรือCD4, viral load)อย่างเป็นประจำ โรคแทรกซ้อนต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันมียาต้านออกมาตัวใหม่ใหม่อยู่ตลอด ข้อมูลในปัจจุบันของยาตัวใหม่อาจยังไม่มีผลการทดลองในระยะยาวมากนัก เพราะว่ายามันเพิ่งมีผลิต แล้วคุณจะไปเอาระยะเวลาที่ไหนมาบอกว่าคุณจะตายแล้ว นั่นสิ ผมคิดถูกแฮะ ผมมีความหวังอยู่ สมัยก่อนวัณโรคเป็นแล้วตาย แต่ตอนนี้กิยาแค่ 6 เดือน แล้วโรคของผมถ้าในวันหน้ามียารักษา อาจจะต้องกินยาเป็นปี หรือว่าหลายปี ผมก็จะรอวันนั้น วันที่ผมประสบความสำเร็จในอาชีพ และประสบความสำเร็จในการรักษาโรคของตัวเอง

ตอนนี้โรคของผมได้รับการดูแลจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในประเทศไทย ผมอุ่นใจมาก ผมเจาะ CD4, viral load ทุก 2-3 เดือน ผลเลือดผมใกล้เคียงเดิมมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ผมยังไม่ได้เริ่ม้กินยา และตอนนี้ผมก็เป็น resident 1 general surgery อย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตผมไม่ได้สุขสบายมากนัก เนื่องจากเรียนหนัก ไม่ค่อยได้นอน และก็ไม่ค่อยได้กินข้าว คำตอบของผมอยู่ที่ใจคำเดียวเท่านั้น ใจเท่านั้นที่ทำให้คุณไปถึงทุกที่ ใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่ไม่ลดละ ใจที่พร้อมเสียสละ ใจที่อยากเอาชนะสิ่งทั้งปวง ใจนี่แหละที่ยังรักษาระดับCD4เอาไว้ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมเชื่อ

ผมพร้อมจะกลับมาเป็นหมอแล้ว

****************************
หมายเหตุ กระทู้นี้ มีลงใน http://www.pantip.com/


- - - -  RIP - - - - -


เศร้า "น้องณมน" เจ้าของวลี "อกชิดกว่าชมอีก" เสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคมะเร็งเส้นประสาท


หลังจากสู้กับโรคมะเร็งเส้นประสาทมานาน ตอนนี้ "ณมน กัญณนนพัทน์ วงศาโรจน์" วัย 24 ปี อดีตพิธีกรสาวสวยรายการ Sexy on Tube ทางช่อง Maxxitv ของแกรมมี่ และเจ้าของประโยคฮิต "ชิดกว่าชมอีก" จากโฆษณาชุดชั้นในซาบีน่า ก็ได้จากไปอย่างสงบแล้วที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล



ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ที่อาการของสาวณมนเริ่มแย่ ทางคุณแม่ของเจ้าตัวก็ได้โพสต์เฟซบุ๊คในใจความว่า "น้องเป็นมะเร็งเส้นประสาทระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นชนิดที่เกิดขึ้นน้อยมาก ไม่ตอบสนองต่อการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น น้องสู้ไม่ไหวแล้วค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจ นี่คือสิ่งที่น้องอยากจะให้คุณแม่ทำ ขอบคุณทุกคนค่ะ จากคุณแม่และน้องณมนค่ะ" 



และข้อความล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันที่ 10 ก.ค. คุณแม่ได้โพสต์ใจความว่า "จากคุณแม่น้องณมน ตอนนี้ น้องได้ไปสู่สวรรค์แล้ว อย่างสงบ ขอบคุณทุกคนนะคะ คุณแม่จะแจ้งวัดสวดอภิธรรมอีกทีนะคะ" 



สำหรับกำหนดสวดอภิธรรมณมน จะจัดขึ้น ณ วัดเทพลีลา ศาลา 3 ในวันพฤหัส ที่ 11-17 กรกฎาคม และกำหนดพิธีฌาปณกิจในวันที่ 18 กรฏาคม 2556 พิธีรดน้ำศพวันนี้ เวลา 16.00น เป็นต้นไป

ณมนนั้นเคยเป็นพิธีกรและพริตตี้ตามงานต่างๆ มากมาย แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักนั้นก็คือ โฆษณาชุดชั้นในซาบีน่า กับประโยคฮิตอกชิดกว่าชมอีก และโฆษณาลูกออมฮอลล์ที่กำลังออกอากาศอยู่ขณะนี้้





สัมภาษณ์ คุณ พรกนก วงศาโรจน์ (น้ำหนึ่ง) สาว IDOLCUTE

ช่วยแนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จัก: ชื่อ น้ำหนึ่งค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ปีที่ 5 ม.ศ.วค่ะเอกนาฎศิลป์ไทยค่ะปีสุดท้ายแล้วค่ะ เป็นคนร่าเริงเข้ากับเพื่อนๆได้ง่ายค่ะชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอค่ะยังไงเพื่อนๆช่วยแนะนำด้วยนะคะ

 ชื่อ-นามสกุล: พรกนก วงศาโรจน์

ชื่อเล่น: น้ำหนึ่ง

วัน เดือน ปีเกิด: 27/มีนาคม/2532

การศึกษา: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร

เกิดที่จังหวัด: ขอนแก่น

พื้นที่ในการรับงาน: กรุงเทพ หรือต่างจังหวัดขึ้นอยู่กับงานค่ะ

สัดส่วน: 34-24-35

สูง: 168

น้ำหนัก: 46

สีผิว: ขาวเหลือง

จุดเด่นในร่างกาย: จุดเด่น ขาเรียวสวย หน้าเก๋ แต่งได้หลายแบบค่ะ

ไซด์เสื้อผ้า: เสื้อไซด์ m กาง m

ขนาดรองเท้าเบอร์: 36-37


ประสบการณ์ทำงาน: ผลงานที่ผ่านมา

- โฆษณา coffee 21 เนเจอร์กิฟ ปี 2011

- โฆษณา ซิมทรู ซับเมน ปี 2011

- โฆษณา ครีมกระชับหน้าอก เมน ออนที่ประเทศ มาเลเซีย ปี 2011

- โฆษณา ยาคุมกำเนิด ออนประเทศ เวียดนาม ปี 2011

- โฆษณา บะหมี่ไวไว ซับเมน ปี 2010

ผลงานด้านการแสดง

- ละคร เคหาส์สีแดง รับบทเป็น พิศ

- ละคร เพลงรักข้ามภพ

ผลงานด้านการประกวด

- ตำแหน่ง เซ็กซี่ลีโอเกิลล์ ซีซั่น 3 รองอันดับ 3

เนื่องจากติดเรื่องเรียนเลยไม่ค่อยมีผลงานออกมาเท่าไหร่ค่ะ

ด้านงานอีเว้น

- พริตตี้ ฮอนด้า งานมอเตอร์โชว์
- พริตตี้ สนามแข่งรถ บุญรอด
- พริตตี้ น้ำดื่มบีอิ้ง
บุคลิคส่วนตัว: เป็นคนร่าเริงจริงจังกับงานบุคลิคโดยทั่วไปจะดูเป็นผู้ใหญ่เข้าใจเนื้องานได้เร็วเข้ากับเพื่อนๆร่วมงานได้ดีค่ะ

งานที่สนใจ: พริตตี้ mc นางแบบ นักแสดง ถ่ายแบบค่ะ

ไม่รับงานประเภท: ไม่รับงานเสื่อมเสียทุกชนิดค่ะ..งานถ่ายบิกินี่ หรืองานที่ต้องใส่ชุดโป๊เกินงามไม่รับค่ะขึ้นอยู่กับเนื้องานด้วยค่ะคุยกันได้ค่ะ


รู้จัก idolcute ได้อย่างไร: รู้จัดทางอินเตอร์เน็ตค่ะ..

มีคนมาชมเราว่าเป็นคนสวยหรือน่ารักมากกว่ากัน: ส่วนมากจะโดนชมว่าน่ารักเวลาที่เราแต่งลุคใสๆจะเหมือนเด็กเกาหลีหน้าเก๋ๆเพื่อนๆชอบบอกแบบนั้นค่ะแต่เวลาที่เราแต่งลุคเปรี้ยวเซ็กซี่ก็จะโดนเพื่อนๆชมว่าสวยเซ็กซี่คือพอๆกันน่ะค่ะเพราะว่าน้ำหนึ่งแต่งได้หลายลุคน่ะค่ะแต่ละแบบจะสวยน่ารักไปคนละแบบค่ะแต่งแต่ละแบบจะไม่เหมือนกันเลยค่ะอาจจะเป็นเพราะโครงหน้าของเราด้วยน่ะค่ะ
ความฝันที่อยากทำให้เป็นจริงคืออะไร: อยากเป็นจะเป็นดารานักแสดงในจุดที่เราได้แสดงความสามารถได้เต็มที่น่ะค่ะและอยากประสบความสำเร็จในงานทางด้านวงการแสดงให้ถึงจุดสูงสุดค่ะ...ทั้งนี้น้องหนึ่งก็ไม่ทิ้งงานอื่นทางด้านอื่นๆเช่นพริตตี้ mc นางแบบ ถ่ายแบบ ซึ่งทั้งหมดน้องหนึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์น่ะค่ะมันจะทำให้เราได้มีประสบการณ์ทางด้านอื่นๆอีกด้วยค่ะ...ที่สำคัญสุดความฝันสูงที่สุดของน้องหนึ่งก็คือการได้มีบ้านให้คุณแม่สักหลังเล็กๆก็พอแล้วค่ะ

งานอดิเรกทำอะไรบ้าง: งานอดิเรกหรอคะส่วนมากน้องหนึ่งเวลาว่างจากงานจากการเรียนน้องหนึ่งชอบพักผ่อนดูหนังนอนฟังเพลง..ไปทำบุญบ้าง นั่งสมาธิบ้างเพราะคุณแม่ชอบพาลูกๆเข้าไปใว้ที่วัดตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะให้เรารู้จักนั่งสมาธิสวดมนต์..จะได้ใจเย็นๆทำอะไรก็จะมีสมาธิและสติน่ะค่ะ

ความสามารถพิเศษมีอะไรบ้าง: น้องหนึ่งถนัดเรื่อง รำไทย รำไทยพื้นเมือง เต้น ร้องเพลงได้บ้างค่ะเคยไปเรียนมาค่ะ และ การแสดง แอคติ้งได้ค่ะ สีซออู้ ซอสามสายได้ค่ะ
มีวิธีดูแลหน้าตาผิวพรรณตัวเองอย่างไรบ้าง: ก็ส่วนมากจะพึ่งครีมบำรุงผิวทั่วๆไปน่ะค่ะ และก็ทานน้ำผลไม้บ้าง นอนเยอะๆบ้างอีกอย่างน้องหนึ่งเป็นคนที่แพ้ง่ายจึงต้องดูแลผิวเป็นพิเศษโดยการทาครีมกันแดดเยอะๆในแต่ละวันค่ะที่สำคัญที่สุดต้องดื่มน้ำมากๆและออกกำลังกายพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ

นิสัยที่บอกว่านี่แร่ะคือตัวเรา: สำหรับน้องหนึ่งนะคะโดยปกติจะเป็นคนที่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเราคิดรอบคอบแล้วแล้วจะเป็นคนที่เวลาจะทำอะไรสักอย่างจะดูสุขุมจริงจังจะออกแนวติสๆน่ะค่ะ..เป็นตัวของตัวเองค่ะบางทีก็ออกบ๊องส์ๆเวลาอยู่กับเพื่อนสนิทค่ะเฮฮาร่าเริงเวลาที่ทำอะไรสำเร็จแล้วก็จะปล่อยอารมณ์นั้นๆออกมาเต็มที่ค่ะ

ฉายาประจำตัวคืออะไร: อีแห้งค่ะ..555เพื่อนๆชอบเรียกแบบนั้นคุณแม่ยังชอบเรียกเลยค่ะ..เพราะเมื่อก่อนจะเป็นคนผอมมากค่ะคอยาว..คางแหลม..หน้าเล็กๆ..ดูแล้วเก้งก้าง..ก็เลยได้ฉายานี้มาค่ะ..แต่ก็ดีนะคะชอบค่ะมันเหมือนสัญลักษณ์เราไปแล้วค่ะ

เคยมีเรื่องทุกข์ใจบ้างหรือเปล่าแล้วหาทางออกได้อย่างไร: มีบ่อยค่ะ..ส่วนมากเรื่องงานค่ะ..อยากจะทำงานให้ได้จนถึงจุดสูงสุด..และในขณะเดียวกันก็ต้องเรียนไปด้วย..คือว่าน้องหนึ่งส่งตัวเองเรียนน่ะค่ะทำงานไปเรียนไปค่ะส่งน้องด้วยดูแลคุณแม่บ้างน่ะค่ะก็ทำได้ตามกำลังที่มีและเวลาด้วยค่ะ..บางทีท้อก็มีบ้างที่เหนื่อยค่ะน้องหนึ่งก็จะใช้วิธีระบายโดยการไปหาคุณแม่แล้วก็นั่งร้องไห้ออกมาจนไม่อยากร้องแล้วก็ค่อยคุยให้คุณแม่ฟังถึงปัณหาค่ะคุณแม่ก็จะให้กำลังใจและคำแนะนำเรามาค่ะน้องหนึ่งก็จะรู้สึกดีขึ้นและมีกำลังใจในการทำงานและเรียนต่อไปค่ะ
ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือช่วงเวลาไหน: ไม่อยากจะบอกเลยค่ะ..น้องหนึงจะมีความสุขที่สุดก็คือเวลาที่ได้ทานขนมเค้กที่อร่อยๆมีร้านที่น้องหนึ่งชอบมากเป็นพิเศษค่ะและก็ได้แย่งกันทานกับคุณแม่ยิ่งมีความสุขค่ะเพราะเรามีกันอยู่แค่นี้ค่ะ..โอ๊ยๆแค่คิดถึงเค้กแสนอร่อยก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ555

สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบไป: น้องหนึ่งไม่ค่อยได้มีโอกาศได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยค่ะนานแล้ว..สถานที่ๆชอบไปก็จะเป็นทะเลค่ะ เวลาได้ไปสัมผัสรู้สึกสบายผ่อนคลายมากค่ะและก็วัดที่มีปฎิมากรรมที่สวยๆน้องหนึ่งชอบไปค่ะรู้สึกว่าคนสมัยก่อนเค้ามีไอเดียที่ดูสวยแบบคลาสสิคดูได้นานไม่มีเบื่อเลยค่ะ

กีฬาที่ชื่นชอบคืออะไร: น้องหนึ่งชอบตีแบต..โยนโบว์ลิ่งค่ะ..แบบว่าเวลาเรามีไม่มากก็ต้องหากีฬาที่ไม่ต้องใช้เวลาในการเล่นนานๆนักน่ะค่ะมีอีกกีฬานึงที่น้องหนึ่งอยากจะทำค่ะคือขับรถแข่งค่ะดูแล้วน้องหนึ่งน่าจะทำได้ค่ะปกติก็ขับรถได้อยู่แล้วน่ะค่ะ

อาหารสุดโปรดที่ชอบทาน: แห่ะๆ..บอกแล้วเพื่อนๆคงไม่เชื่อ..เห็นใว้หุ่นแบบนี้น้องหนึ่งชอบทาน..หมูกรอบค่ะ...แต่ต้องเป็นหมูกรอบของร้านสุกี้แห่งหนึ่งในกทมเท่านั้นนะคะ..รองลงมาก็ส้มตำปูปลาร้าค่ะ ตำซั่ว ต้มแซ่บ โอ๊ยย..แซ่บอีหลีเด้อค่ะทั้งหมดนี้น้องหนึ่งมีร้านประจำค่ะว่างๆเพื่อนเข้ามาสอบถามชื่อร้านได้นะคะ..ไม่หวงค่ะ

สไตล์การแต่งตัวที่ชอบเป็นแนวไหน: สบายๆค่ะปกติไม่ไปไหนน้องหนึ่งก็จะไม่แต่งหน้า..ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าส้นเตี้ยสบายๆออกสไตล์ติสๆน่ะค่ะ..แต่ถ้าไปงานน้องหนึ่งก็ต้องแต่งให้ถูกกับงานนั้นๆค่ะ
เว็บไซต์ที่ชอบเข้าบ่อยๆเป็นเว็บประเภทไหน: เฟรชบุคค่ะเข้ามาคุยงานบ้างคุยกับเพื่อนบ้างค่ะ..และก็จะเป็นเว็บหางานพริตตี้บ้างค่ะดูเรื่องเรียนบ้างส่วนมากน้องหนึ่งก็จะติดตามเรื่องงานซะส่วนใหญ่ค่ะ

ชอบฟังเพลงแนวไหน: แนวสตริงค่ะ.. แต่จริงๆก็ได้ทุกแนวนะคะ..แต่ไม่ค่อยชอบแนวแรงๆดังๆแบบแด้นซเท่าไหร่ค่ะน้องหนึ่งว่ามันเสียงดังค่ะฟังเพลงแนวเบาๆเพราะๆแล้วทำให้ใจเรารู้สึกผ่อนคลายไปด้วยค่ะ

คติประจำใจคืออะไร: ทำทุกอย่างด้วยความตั้งมั่นให้ดีที่สุดแล้วสิ่งที่คิดฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

อยากบอกอะไรถึงทุกคนที่เข้ามาอ่านสัมภาษณ์บ้าง: น้องหนึ่งอยากจะขอฝากเนื้อฝากตัวและขอโอกาศในการร่มวมงานกับพี่ๆและผู้ว่าจ้างงานทุกท่านค่ะน้องหนึ่งจะขอตั้งตั้งใจทำงานให้ออกมาให้ดีที่สุดค่ะ..และยินดีที่จะได้รู้จักกับเพื่อนๆใหม่ๆทุกคนด้วยนะคะยินดีมากค่ะขอบคุณค่ะ