วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม.. น้ำตา.. น้ำใจ..ไทยช่วยไทยภาค2

ในที่สุดข้าน้อยก็ต้องถ่อเปิดภาค2จนได้(หากใครเพิ่งหลงเข้ามาอย่าพลาดเข้าไปกวาดภาคแรกด้วยล่ะ)ช่วงนี้หนีบข้อมูลจากเว็บโปรดมากมายมาแปะมาให้ แต่ข้อมูลทะลักอยู่เรื่อยเลย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนสู้กับอุปสรรคครั้งนี้ไปพร้อมๆกันนะ หลอมรวมเป็นความสามัคคีให้ได้ให้ชาวโลกมันต้องตะลึงให้ได้เน้อ  ตอนนี้ประสบปัญหาน้ำท่วมกะเค้าเหมือนกันก็เลยไม่ได้อัพต่อเนื่องแต่ได้รวบรวมคลิปข่าวเอาไว้เป็นเพลลิสคะ ทางเวิร์ดเพลสไม่รองรับเพลลิสซ์การเล่นต่อเนื่องอ่ะนะ ก็เลยย้ายมาแปะที่นี่คะ ด้านล่างสุดเลยเชิญเลิกชมตามอัธยาศัยคะ
(>n<)/~!! 
อัพเดทคลิปข่าวสถานการณ์ที่บ้านนู้น ถ้าสนใจรับชมคลิกที่นี่คะ ชาวกรุงเทพฟังวิเคราะห์น้ำท่วม 24 ต.ค. 54
หมายเหตุ:
http://guwnteen.blogspot.com - เน้นรูป, บทความ, คลิปหนัง(ดูแบบplaylist)
http://guwnteen.wordpress.com - เน้นคลิปเพลง,การ์ตูน(อนิเมะต่างๆ)แ้ล้วก็ข่าว, เก็บตกฟอร์เวิร์ดเมลล์
 
ในเฟสบุคมีหลายFPที่มีข้อมูลข่าวอัพเดทตลอดเวลา แต่ที่พลุกพล่านมาใหม่แกะกล่องและโดนใจข้าน้อยก็เพจนี้เรย กูโคตรมั่นใจคนไทยทำดีแล้วโดนด่า แต่พวกไม่ทำ "ห่า" เสือกชอบนั่งด่าคน


ประโยคทักทายก็โดนใจเข้าไปเต็มข้อ
"The trouble with quotes on the Internet is that you never know if they are genuine.
ปัญหาหนึ่งของการอ้างคำพูดในInternetคือ คุณไม่รู้หรอกว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า"

เช็ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อุ่ย นอกเรื่องเพลินเลย นอกจากจะFPท่านนายกท่านรมต,เว็บช่องข่าวทั้งหลาย มีเพจนี้อีกเพจอยากแนะนำคะ น้ำขึ้น ให้รีบบอก  เพจนี้ก็ค่อนข้างอัพเดทข่าวทู๊กอย่างเลยคะก่อนโพสต์อย่าลืมดูกติกาด้วยนะคะว่าถ้าเป็นข่าวที่หนีบมาอีกที ต้อง@n เวลา ข้อความ ~ ประมาณนั้น ~ ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าอ่านอย่างเดียวเจ้าคะ วันนี้อัพเดทแค่นี้แหละ วันหน้าคงได้อัพเดทฉบับ3 เพราะหน้านี้ก็ยาวซะอีกแล้ว (T^T)

22/10/54: ใครอยู่แถวพระราม7ดูรูปล่าสุดที่Pantipเลยจ้า

* แบบฟอร์มขอความช่วยเหลือ Thaiflood.com


เพิ่มเติมสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด 25 ตุลาคม 2554

ขสมก.แจ้งปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ ณ เวลา 10.30 น. :
สาย 18 ปรับเส้นทางเป็น จาก แยกบางพลู – อนุสาวรีย์ชัยฯ ,
สาย 29 ปรับเส้นทางเป็น จากดอนเมือง – หัวลำโพง ,
สาย 34 , 39 , 522ปรับเส้นทางเป็น จากถนนพหลโยธิน กม.25 – อนุสาวรีย์ชัย ฯ ,
สาย 49 ปรับเส้นทางเป็น จากหมอชิต 2 – หัวลำโพง ,
สาย 503 ปรับเส้นทางเป็น จากถนนพหลโยธิน กม. 25 – สนามหลวง ,
สาย 59 ปรับเส้นทางเป็น จากดอนเมือง – สนามหลวง ,
สาย 63 ปรับเส้นทางเป็น จาก อตก.3 – อนุสาวรีย์ชัย ฯ (รถไม่วิ่งเข้าท่าน้ำนนท์) ,
สาย 95ก. ปรับเส้นทางเป็น จากดอนเมือง – บางกะปิ ,
สาย 114 ปรับเส้นทางเป็น จาก อตก.3 – แยกซอยแอนเน็กซ์ ,
สาย 117 ปรับเส้นทางเป็น จาก กทม.2 – แยกบางโพธิ์ ,
สาย 134 ปรับเส้นทางเป็น จากแยกบางพลู – วิ่งตามเส้นทางปกติถึงหมอชิต 2 ,
สาย 185 ปรับเส้นทางเป็น จากถนนพหลโยธิน กม.25 – คลองเตย ,
สาย 516 ปรับเส้นทางเป็น จากหมู่บ้านพระปิ่นเกล้า 3 – เทเวศร์ ,
สาย 517 ปรับเส้นทางเป็น จากหน้าบริษัทแครี่บอย – หมอชิต 2 ,
สาย 520 ปรับเส้นทางเป็น จากถนนพหลโยธิน กม.25 – บางกะปิ ,
สาย 543 ปรับเส้นทางเป็น จากบางเขน – ปากทางลำลูกกา ,
สาย 555 ปรับเส้นทางเป็น จากดอนเมือง – ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
สอบถามได้ที่ Call Center หมายเลข184 หรือศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขสมก. โทร. 0-2246-0960





เรื่อง วันหยุดราชการ อย่างเป็นทางการ






การรับมือสำหรับน้ำท่วมควรปฏิบัติดังนี้ 
               


1.  คาดคะเนความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สินของคุณเมื่อเกิดน้ำท่วม
2.  ทำความคุ้นเคยกับระบบการเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขั้นตอนการอพยพ
3. เรียนรู้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดจากบ้านไปยังที่สูงหรือพื้นที่ปลอดภัย
4. เตรียมเครื่องรับวิทยุแบบพกพา อุปกรณ์ทำอาหารฉุกเฉิน แหล่งอาหารและไฟฉาย รวมทั้งแบตเตอรี่สำรอง
5. ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วม ควรจะเตรียมวัสดุ เช่น กระสอบทราย แผ่นพลาสติก ไม้แผ่น ตะปู กาวซิลิโคน เป็นต้น เพื่อใช้ป้องกันบ้านเรือน และทราบแหล่งทรายที่จะนำมาใช้
6. นำรถยนต์และพาหนะไปเก็บไว้ในพื้นที่ซึ่งน้ำไม่ท่วมถึง
7.  ปรึกษาและทำข้อตกลงกับบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับการประกันความเสียหาย
8.  บันทึกหมายเลขโทรศัพท์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน และเก็บไว้ตามที่จำง่าย
9.  รวบรวมของใช้จำเป็นและเสบียงอาหารที่ต้องการใช้ภายหลังน้ำท่วมไว้ในที่ปลอดภัยและสูงกว่าระดับที่คาดว่าน้ำจะท่วมถึง
10.  ทำบันทึกรายการทรัพย์สินมีค่าทั้งหมด ถ่ายรูปหรือวีดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน       
11.  เก็บบันทึกรายการทรัพย์สิน เอกสารสำคัญและของมีค่าอื่นๆ ในสถานที่ปลอดภัยห่างจากบ้านหรือห่างจากที่น้ำท่วมถึง เช่น ตู้เซฟที่ธนาคาร หรือไปรษณีย์
12.  ทำแผนการรับมือน้ำท่วม และถ่ายเอกสารเก็บไว้ในที่สังเกตได้ง่าย  และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ




http://a2.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/316464_300197793339312_293796897312735_1304557_2018335408_n.jpg
 
อ้อ ทิ้งท้ายอีกเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง อย่าลืมพวกเค้านะคะ

Forget me not!!!


308145_307689792581680_100000219853433_1493824_1987971487_n.jpg (720×540)
 
น้องหมาที่รอคอยการช่วยเหลือ..... จาก หมู่บ้านชลลดา อ.บางบัวทอง





สิ่งที่ควรทำ ในการอพยพสำหรับคนเลี้ยงสัตว์



โดยกระปุก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก SOS ANIMALS Thailand

 
          ในภาวะคับขันช่วงน้ำท่วมเช่นนี้ ทำให้หลายพื้นที่มีการสั่งเร่งอพยพประชาชนกันให้วุ่น ซึ่งแน่นอนว่าขณะนี้ทุกคนควรจะมีการเตรียมตัวล่วงน้ำ เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำหลากที่อาจจะมาถึงบ้านเราได้โดยไม่คาดคิด แต่สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงแสนรักไม่ว่าจะกี่ตัวก็ตาม คงจะเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ก็เนื่องจากในช่วงชุลมุนเช่นนี้ คงทำให้ทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงพลัดหลงกันได้ง่าย ดังนั้น วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำในการอพยพเคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยง เพื่อให้เจ้าของสามารถติดตามสัตว์เลี้ยงกลับมาได้ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ มาฝากกันค่ะ...

 

          สิ่งที่ควรทำในการอพยพ สำหรับคนเลี้ยงสัตว์


 กรณีที่นำสัตว์ไปด้วยได้

1. ป้ายชื่อที่มีชื่อและเบอร์ติดต่อเจ้าของ ปลอกคอ และต้องใส่กรง หรือนำสายจูงไปด้วย 
2. รับรองวัคซีน
3. อาหาร น้ำ ให้พอสำหรับช่วงเวลาสองหรือสามวัน
4. เจ้าของควรมีรูปสัตว์เลี้ยงติดตัวไว้ เผื่อพลัดหลง 


 กรณีที่นำสัตว์ไปไม่ได้

1. นำไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดของบ้าน ห้ามล็อคห้อง ใส่กรง หรือล่ามโซ่
2. ใส่ปลอกคอที่มีชื่อหมาหรือเบอร์โทรเจ้าของ 
3. เตรียมอาหาร และน้ำให้มากพอ
4. เขียนชื่อสัตว์ และเจ้าของพร้อมเบอร์ติดต่อ ข้อความที่จำเป็นไว้ในที่ที่ชัดเจน ให้อ่านชัด ๆ เห็นได้ง่าย และ **ควรมีรูปสัตว์เลี้ยง นำติดตัวเจ้าของไปด้วย**
5. เอาผ้าสีสด ๆ ผูกไว้ในตำเหน่งที่มองเห็นได้ชัดไกล ๆ เผื่อทีมช่วยเหลือเข้าไป จะได้สังเกตเห็นและเข้าไปช่วยเหลือได้


 ศูนย์อพยพ ที่รับสัตว์ร่วมได้ (แต่ต้องเตรียมกรงไปด้วย)

- ศูนย์ มธ.รังสิต
- ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ


































พบหมอกู้ภัย 

ข้อมูลที่ควรรู้เบื้องต้นคะ เกี่ยวกับการช่วยเหลือตัวเองหรือคนอื่น เป็นรายการที่ไม่ควรพลาดเลยจ้า เพราะแขกรับเชิญคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน อาสากู้ภัยใจบุญคนเดิมนั่นเองคะ ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่า



หมอบ้าน เตรียมรับมือน้ำท่วม





เอาตัวรอดจากสัตว์เลื้อยคลาน



เจ้าหน้ากรมประมงยังคงตามจับจระเข้ เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยเกิดความสบายใจมากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีเอาตัวรอดหากต้องเผชิญหน้ากับจระเข้และสัตว์มีพิษ จระเข้และสัตว์มีพิษในช่วงน้ำท่วม เป็นภัยร้ายซ้ำเติมผู้ประสบอุทกภัยในเวลานี้ ความกลัวมีมากขึ้น เมื่อมีข่าวพบจระเข้ในพื้นที่น้ำท่วม และยังมีผู้ประสบภัยบางราย บาดเจ็บจากสัตว์มีพิษขณะเดินลุยน้ำ

ผู้อำนวยการส่วนอนุญาตและกำหนดมาตรการประมง สำนักบริหารจัดการด้านการประมง กรมประมง เล่าให้ฟังว่า 1-2 วันนี้ สามารถจับจระเข้ที่จังหวัดนนทบุรี ได้ประมาณ 5 - 6 ตัว ซึ่งจระเข้ที่จับได้ทั้งหมด จะนำไปไว้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จังหวัดสุพรรณบุรี สาเหตุส่วนใหญ่ที่จระเข้เลี้ยง หลุดออกมาจากบ่อ เป็นเพราะระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และน้ำมีปริมาณมากกว่าทุกปี เกินความคาดหมายของผู้เลี้ยง ทำให้ขนย้ายจระเข้ไม่ทัน

วิธีการป้องกันตัวเบื้องต้น คือห้ามลุยน้ำออกจากบ้านในช่วงเย็นถึงค่ำ เพราะเป็นช่วงเวลาที่จระเข้ออกหาอาหาร หากจำเป็นควรนำไม้ติดมือไปด้วย และตีผิวน้ำให้เกิดเสียงดัง เมื่อพบจระเข้
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา กรมประมงทำหนังสือแจ้งเตือนผู้เลี้ยงจระเข้ ให้เฝ้าระวังระดับน้ำในบ่อเลี้ยงจระเข้ หากเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ อาจส่งผลให้จระเข้หลุดมาสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้ และขอผู้เลี้ยงซ่อมแซมสถานที่กักกันให้มีความแข็งแรง เพราะหากเจ้าหน้าที่กรมประมงพบเห็นจระเข้ จะดำเนินการตามระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับสัตว์ป่าหรือซากสัตว์ ซึ่งสัตว์น้ำที่พบจะตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับประชาชนที่พบเห็นจระเข้ โดยหากประชาชนพบจระเข้หลุดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ให้รีบแจ้งสำนักงานประมงจังหวัดแต่ละพื้นที่ หรือแจ้งเจ้าหน้าที่กรมประมงได้ที่ โทรศัพท์หมายเลข 02-562-0546 ตลอด 24 ชั่วโมง

Produced by Voice TV








โดยกันยา คลินิกกายภาพบำบัดเมื่อ 17 ตุลาคม 2011 เวลา 15:29 น.

 วรรธนะ ชลายนเดชะ
 พักนี้น้ำท่วมคงต้องช่วยกันบรรจุ แบก ผูก ถุงทราย หลายวันก่อนผู้เขียนไปช่วยบรรจุและยกถุงทราย
ปวดไหล่ หลัง ขา ไป 3-4 วัน เห็นว่าน่าจะมีอะไรที่นักกายภาพบำบัดอย่างผู้เขียนพอที่จะช่วยแนะนำอะไรเล็กๆน้อยได้บ้าง
ยามที่ใครๆต้องช่วยกันทำกระสอบทรายกันมากมายในตอนนี้

ถ้าจะยกกระสอบทรายต้องประมาณน้ำหนักก่อนว่ายกไหวไหม
ถ้าไม่ไหวต้องให้คนช่วย ช่วงยกถ้ามีการบิดตัวพยามอย่าให้บิดมาก เช่น ยกแล้วต้องบิดกลับไปวางที่ด้านหลัง
อาจต้องเปลี่ยนที่ยืนให้ตัวเราบิดน้อยที่สุด
การส่งต่อกระสอบทรายไปที่หนักไปยังอีกคนหนึ่งจะมีอันตรายเพราะแต่ละคนความแข็งแรงไม่เท่ากันอาจจะประเมินแรงที่ยกได้ผิดไป
คือต้องยกกระสอบทรายที่ส่งต่อมาให้ทั้งที่ตัวเองแรงไม่พอ ดังนั้นน้ำหนักของกระสอบทรายจะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บ ผู้เขียนกะดูว่าน้ำหนักไม่ควรเกิน 3 พลั่วถ้าจะให้คนปกติ (ที่ไม่เคยออกกำลัง) ยก  ถ้าเกินกว่านั้นต้องใช้มากกว่า  2 คน หรือถ้าไม่จำเป็นต้องยกขึ้น ให้ใช้การลากกับพื้นจะประหยัดแรงได้มากกว่า อย่าลืมว่าเวลายกในครั้งแรกๆอาจไม่เป็นไรแต่เมื่อยกไปเรื่อยๆกล้ามเนื้อหรือเอ็นหลังอาจบาดเจ็บได้

เวลาต้องใช้พลั่วตักทรายเข้าถุงจะต้องบิดตัวเอาทรายเข้าถุง พยามหามุมยืนที่เราไม่ต้องบิดมาก ถ้าเริ่มเมื่อยให้คนถือปากถุงไปยืนอีกฝากจะได้บิดตัวไปอีกข้าง เวลายกถุงทรายก็เช่นเดียวกัน ถ้าจำเป็นต้องบิดตัวยก ให้บิดสลับข้างบ้างทำสลับไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกตึงๆ ปวดๆ ที่หลังก็ต้องหยุด เพราะร่างกายจะเตือนให้เราพัก

เวลาทำงานแบบนี้บางครั้งไม่ได้พักเพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาดังนั้นอาจต้องสลับหน้าที่กัน เช่น ยกแล้วเมื่อยก็ไปตักทราย ตักทรายเมื่อยก็ไปนั่งผูกถุงทรายพักจนหายเมื่อยแล้วไปทำงานยกใหม่

ถ้าต้องนั่งกับพื้นนานๆ พยามลุกขึ้นยืนและดัดหลังด้วยการแอ่นตัวไปทางด้านหลังครั้งละ 5 วินาที จะช่วยป้องกันไม่ให้หลังเจ็บได้บางส่วน

เมื่อกลับบ้านหลังจากที่ไปออกแรงมา อาจมีอาการปวดเมื่อยที่เรียกว่า อาการปวดระบมของกล้ามเนื้อ Delayed Onset Muscle Soreness (DOMS) ซึ่งจะมีการดำเนินของอาการดังต่อไปนี้

วันแรกหลังทำจะไม่มีอาการ ไม่ปวด จะรู้สึกเพลียๆเฉยๆ 

วันที่ 2-3 หลังทำกิจกรรม จะปวดระบมมากระดับความเจ็บปวดอาจถึงขั้น 7/10 บางท่านอาจเดินไม่ค่อยได้เพราะปวดและมีความรู้สึกร้อนที่บริเวณกล้ามเนื้อ  ไม่ต้องตกใจ  อาการปวดจะหายไปได้เองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรภายใน 5-7 วัน

สิ่งที่อยากเตือนก็คือถ้ามีอาการปวด ขณะหรือหลังทำกิจกรรมทันทีแสดงว่ากล้ามเนื้อหรือเอ็นหรือส่วนอื่นๆอาจมีปัญหาต้องใช้น้ำแข็งประคบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว

หรือถ้าหลัง 10 วันไปแล้วยังมีอาการปวดอยู่ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน เพราะแสดงว่ามีอาการเรื้อรังอาจมีปัญหาภายหลังได้

ใครที่ต้องยกของหนีน้ำให้ดูกำลังตัวเองก่อนว่ายกไหวไหม? ถ้าไม่ไหวก็อย่าไปเสี่ยงยกเลย
สุขภาพเราสำคัญกว่ามาก ของนอกกายไม่ตายก็หาซื้อใหม่ได้ แต่ถ้าหลังเจ็บรักษากันนานเป็นเดือนๆ

ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นอุทกภัยครั้งนี้ไปด้วยความปลอดภัยนะครับ



 


http://a5.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/315736_298750256817399_293796897312735_1298505_722476693_n.jpg 

 
 
น้ำท่วมครั้งนี้. คุณเป็นคนไหน...???

โอ้ว เย้ ตามหาจนเจอแล้วว่าใครเป็นเจ้าของผลงานไอเดียเจ๋งๆอันนี้ ^^ จากลิ้งนี้นี่เอง ส่วนข้อความเกริ่นนำคัดลอกจากอากู๋เหมียลเดิ๊มจ้ะ
   เมื่อคลื่นน้ำหลากมาถล่มหลายจังหวัดของประเทศไทย ทุกสื่อต่างนำเสนอข่าวอุทกภัยอย่างครึกโครม ซึ่งภาพที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนก็สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของสังคมไทยยามนี้ ได้เป็นอย่างดี
 
          ขณะที่หลายคนกำลังร้องไห้ เสียใจ ที่น้ำหลากมาคราวนี้ได้พัดพาเอาชีวิตของผู้เป็นที่รัก บ้านเรือน ทรัพย์สิน ที่ดิน ไร่นา เสียหายจนหมดเนื้อหมดตัว ยังมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังแพคถุงยังชีพ รับโทรศัพท์แจ้งเหตุ และลงพื้นที่ไปช่วยเหลือพวกเขา

          ขณะที่หลายคนอพยพหนีออกจากบ้านที่ถูกน้ำท่วม กลับมีคนอีกกลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสตอนไม่มีคนอยู่ เข้าไปขโมยทรัพย์สินภายในบ้านร้างที่เต็มไปด้วยน้ำ

          ขณะที่หลายคนกำลังนอนป่วยอยู่ในหมู่บ้านลึก ๆ และกำลังรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ เวลาเดียวกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นผู้ประสบภัยอยู่ระหว่างทางที่เจ้าหน้าที่กำลังเข้า ไปช่วย เข้ามายื้อแย่งถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม และแย่งกันขึ้นเรือ จนเรือไม่สามารถแล่นเข้าไปยังจุดที่รับแจ้งเหตุใด

          ขณะที่บ้านกำลังถูกน้ำท่วมสูง คนอีกกลุ่มหนึ่ง เฮโลเข้ามาพังคันกั้นน้ำที่ถูกลำเลียงมาไว้ป้องกันไม่ให้น้ำไหลไปยังพื้นที่ อื่น เพราะคิดว่า "เราเดือดร้อน คนอื่นก็ต้องเดือดร้อนด้วย" หรือไม่ก็เข้ามาฉกกระสอบทรายของทางการ เพื่อเอาไปป้องกันบ้านตัวเอง

          ขณะที่ภาพเหตุการณ์อุทกภัยในภาคกลางเข้าขั้นวิกฤตถูกเผยแพร่ออกไป คนกรุงเทพมหานครจำนวนมากต่างตื่นตระหนก แห่ไปซื้อข้าวของ กระสอบทรายมาตุนไว้ พร้อม ๆ กับการหาที่จอดรถแห่งใหม่ที่น้ำจะท่วมไม่ถึง

          คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราเห็นพฤติกรรมที่แท้จริงของคนได้เป็นอย่างดี แล้วคุณล่ะ? กำลังทำอะไรอยู่ ลองมาดูภาพการ์ตูนล้อเลียนไอเดียเจ๋ง ๆ จาก คุณ nonarav ที่โพสต์ไว้ในเว็บไซต์ pantip แล้วตอบตัวเองว่า คุณเป็นใครในภาพนี้





http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/311945_301361123222979_293796897312735_1307712_472385333_n.jpg

6 โรคที่ควรระวังช่วงน้ำท่วม

น้ำท่วม

โดยกระปุก

          แม้ว่าฤดูหนาวกำลังจะย่างเข้ามาแล้ว แต่ดูท่าว่าก่อนฤดูฝนจะผ่านไป มันยังส่งท้ายฤดูฝนด้วยภาวะน้ำท่วมที่หลายพื้นที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ซึ่งก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย และการคมนาคมไปตาม ๆ กัน

          แต่ นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยและการคมนาคมที่ลำบากแล้ว สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับภาวะน้ำท่วม เห็นจะเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่มากับน้ำ ซึ่งมันส่งผลต่อสุขภาพของคนเราได้อย่างมากมาย กระปุกดอทคอมวันนี้ จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับโรคที่มากับน้ำท่วมมาฝากกัน เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้ระมัดระวัง และปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม 6 โรค ดังนี้
          1. โรคฉี่หนู ฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ ตั้งแต่หนู วัว ควาย ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเลยทีเดียว โดยคนจะสามารถรับเชื้อฉี่หนูนี้เข้าไปทางบาดแผล หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงเยื่อเมือกอย่างตาและปากอีกด้วย

           อาการของโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือแบบไม่รุนแรงจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วยรู้ตัวและรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ กับอาการรุนแรงที่จะทำให้ตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ และเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และยิ่งไปกว่านั้นหากติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้เลือดออกในร่างกายจนเสีย ชีวิต

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง การเล่นน้ำ โดยเฉพาะในเด็กที่มักจะสนุกสนานไปกับการย่ำน้ำหรือเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม แต่หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณน้ำท่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเดิน อย่าแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดบาดแผลที่เท้า และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลที่เท้าหรือน่อง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ที่หนีน้ำกัดได้ ส่วนในผู้ที่เริ่มมีอาการปวด หัว ตัวร้อน ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน อย่ารอให้อาการหนักเพราะอาจจะรักษาไม่หายและเสียชีวิตก็เป็นได้

          2. อหิวาตกโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่แพร่กระจายอยู่ในน้ำดื่มและอาหาร โดยมีแมลงวันเป็นพาหะนำโรค และแน่นอนว่าโรคนี้แพร่ระบาดได้โดยการกินและดื่มอาหารที่มีแมลงวันตอมและมี เชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ รวมทั้งอาหารสุข ๆ ดิบ ๆ ด้วย

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง แต่ไม่เกินวันละ 1 ลิตร อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาการในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 1-5 วัน แต่หากติดเชื้อขั้นรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเดิน อุจจาระมากและมีลักษณะอุจจาระเป็นน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นคาว และอุจจาระได้โดยไม่ปวดท้องและไม่รู้สึกตัว สามารถหายได้ภายใน 2-6 วันหากได้รับเกลือแร่และน้ำชดเชยน้ำที่เสียไป แต่หากได้รับไม่พอดีกับที่เสียไปแล้ว ผู้ป่วยก็จะมีอาการหมดแรง หน้ามืด อาจช็อคถึงเสียชีวิตได้

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอหิวาตกโรค ควรรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก รวมถึงรักษาสุขภาพอนามัยด้วยการล้างมือ และภาชนะใส่อาหารให้สะอาดทุกครั้ง แต่ไม่ควรนำน้ำท่วมมาล้าง หรือทำความสะอาดภาชนะ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค หรือหากติดเชื้ออหิวาแล้วก็ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่ง ครัด

          3. ไข้ไทฟอยด์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi  ที่อยู่ในน้ำและอาหารเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค แพร่ระบาดโดยการดื่มน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

          อาการของโรค เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไปจะไม่แสดงอาการทันที แต่จะแสดงอาการหลังจากรับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว เบื่ออาหาร มีไข้สูงมาก ท้องร่วง บางรายมีผื่นขึ้นตามตัว แน่นท้อง สามารถหายได้เองภายใน 1 เดือน แต่ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์หลังจากมีอาการแล้ว เพราะอาจจะเสียชีวิตจากภาวะปอดบวมได้

         การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันไข้ไทฟอยด์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อโรคทุกชนิด และนั่นหมายถึงว่า ให้ทานอาหารที่สะอาด อยู่ในภาชนะที่สะอาด รวมถึงล้างมือให้สะอาดก่อนทานทุกครั้ง และควรจะหลีกเลี่ยงอาหารจากร้านค้าข้างถนนที่อยู่ในบริเวณที่ไม่สะอาด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออีกทางหนึ่งคือฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์

          4. โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ จนทำให้มีอาการเจ็บป่วยได้ และไวรัสตับอักเสบที่มาจากภาวะน้ำท่วม ก็คือไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ทำให้สุก

           อาการของโรค เมื่อแสดงอาการแล้วผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดตัวแถวชายโครงขวา และมีปัสสาวะเป็นสีชาแก่ เริ่มมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองในสัปดาห์แรก และจะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบ คือ ทานอาหารที่สุกและสะอาด ไม่ใช้แก้วน้ำและช้อนร่วมกับผู้อื่น

          5. ตาแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis และ Bacterial Conjunctivitis อาจมาจากภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา มักเกิดจากการเอามือที่สกปรกไปขยี้หรือสัมผัสดวงตา รวมถึงใช้ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าเช็ดหน้าไปสัมผัสกับดวงตา

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการคันตาจนหลายรายต้องขยี้บ่อย หรือบางคนแค่เคืองตาเท่านั้น และมีขี้ตามากกว่าปกติ มีลักษณะเป็นหนองและมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้า และมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ตามัว หรืออาจปวดตา

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตาแดง ควรล้างมือให้สะอาด ไม่ใช่เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับคนอื่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาในทุกกรณี และอย่าใช้ยาหยอดตาร่วมกับคนอื่น หากเริ่มเคืองตาหรือคันตา ให้รีบปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

           6. ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในเด็ก มักระบาดในฤดูฝน ที่มีการแพร่พันธุ์ของยุงลาย

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูงประมาณ 2-7 วัน เบื่ออาหาร อาเจียนออกมามีสีน้ำตาลปนอยู่ ปวดกล้ามเนื้อ ตัวแดง หรืออาจมีผื่นหรือจุดเลือดตามผิวหนัง หากเข้าสู่ภาวะวิกฤตผู้ป่วยจะไข้ลด มือเท้าเย็น ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว อาเจียนมาก ปัสสาวะน้อย ทำให้เข้าสู่ภาวะช็อคได้ หากมีอาการควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตาแดง พยายามอย่าให้ยุงกัดโดยทากันยุงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และอย่าปล่อยให้ภาชนะต่าง ๆ ภายในบ้านมีน้ำขังนานเพราะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือหากเป็นไข้เลือดออกแล้วไม่ควรให้ยุงกัดเพราะจะทำให้แพร่เชื้อไปสู่คน ใกล้ชิดได้ผ่านยุง

          และ นั่นก็คือ 6 โรคที่ระบาดเยอะในช่วงน้ำท่วมและฤดูฝน ดังนั้น ทุก ๆ คนที่ประสบภาวะน้ำท่วม รวมถึงคนทั่วไปก็ควรที่จะระวังการระบาดของโรคเหล่านี้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร การป้องกันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการรักษาเมื่อเป็นโรคแล้วเสมอ เพราะฉะนั้น อย่าลืมใส่ใจสุขภาพอนามัยและพิถีพิถันกับการใช้ชีวิตในช่วงน้ำท่วมและช่วง ฤดูฝนมากขึ้นกันสักนิดนะคะ





 พร้อมรับมือ!! กับบัญญัติ 20 ประการ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม
 





Thanks: กระปุก
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก อ.ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ 



          คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยตอนนี้กำลังวิกฤติ หลายต่อหลายจังหวัดต่างต้องจมอยู่ใต้บาดาล ส่วนอีกหลายจังหวัด ก็กำลังเตรียมตัวเฝ้าระวัง และรับมือกันอย่างเต็มที่...  แต่ ถึงจะเตรียมพร้อมอย่างไร ถ้าน้ำไหลหลากมาอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ เราควรเตรียมตัว เตรียมใจ และตั้งสติอย่างเต็มร้อย เพื่อฝ่าฟันสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มาพร้อมความทุกข์จากภัยธรรมชาติที่ไม่อาจต้านทานได้ ...

          วันนี้ เรามีบทบัญญัติดี ๆ เกี่ยวกับการเตรียมบ้านก่อนน้ำท่วมจาก อาจารย์ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ มาฝากกันค่ะ เราไปดูกันซิว่า... วิธีเตรียมบ้านให้พร้อมต้องทำอย่างไรบ้าง ....





บัญญัติ 20 ประการ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม





1. ดูทางน้ำที่จะมาสู่บ้านเรา  แล้วจะไปทางไหนได้บ้าง 


           ขอให้คิดว่าเราเหมือนกำลังตั้งค่ายคูประตูหอรบอยู่ เราต้องรู้ว่าข้าศึกจะเข้ามาโจมตีเราทางทิศใดได้บ้าง และหากเกิดความพลาดพลั้งขึ้นมา เราจะหนีไปทางไหนได้บ้าง ซึ่งข้าศึกอาจจะเข้ามาตีเราหลายทางก็ได้ และเราก็อาจจะมีทางหนีไปหลายทางก็ได้ บางครั้งข้าศึกไม่ได้มาตีแค่ 2-3 ทาง แต่ทำการ "ล้อม" เราเอาไว้ทุกด้านก็ได้ ทำให้ทางหนีของเราถูกปิดกั้นไว้หมด


           หากเมื่อรู้แนวทางเหล่านั้นแล้ว ก็ขอให้เริ่มวางแผนที่จะ "หยุดน้ำ หยุดข้าศึกที่จะเข้ามาโจมตีเรา"  ซึ่งการหยุดยั้งน้ำหรือข้าศึกนั้น มีหลายวิธีที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการ "สร้างเขื่อนชั่วคราว" ด้วยกระสอบทราย หรือเอาแผ่นวัสดุใด ๆ มาอุดก็ได้  การปิดกั้นนั้นมีหลายวิธี ซึ่งใช้ความเข้าใจพื้นฐาน บวกกับสอบหาข้อมูล ก็จะพอทราบกันเองได้ครับ




2.  กำแพงบ้านไว้กันน้ำได้ แต่ต้องระวังรั้วพัง

          ตามปกติแล้ว รั้วบ้านที่เป็นคอนกรีตหรือก่ออิฐ จะเปรียบเสมือนกำแพงเมืองที่จะกันน้ำไม่ให้เข้ามาในบ้านของเรา แต่เราต้องไม่ลืมว่าน้ำหนักของน้ำที่ขังหรือถาโถมเข้ามากดที่ด้านข้างของ กำแพงรั้วเรา จะทำให้รั้วบ้านของเราเกิดการเอียง หรือแตกร้าว หรือพังลงมากได้ เพราะรั้วบ้านทั่วไป วิศวกรท่านจะไม่ได้ออกแบบไว้ให้รับแรงหรือน้ำหนักที่กระทำด้านข้างได้มากนัก

          ทางป้องกันที่ง่ายที่สุดก็คือ เราหากระสอบทรายมาวางไว้อีกด้านหนึ่งของรั้วบ้านเรา (ในบ้านเรา) วางไว้ติดชิดกับรั้วไปเลย ยามเมื่อรั้วจะเอียงเพราะว่าน้ำที่ท่วมกดน้ำหนักมาอีกด้านหนึ่ง กระสอบทรายก็จะทำหน้าที่ช่วยรับน้ำหนักเอาไว้ ถ่ายแรงจากรั้วมา รั้วก็ยังตั้งตรงอยู่ได้ “กำแพงเมืองของเราก็ไม่แตก หรือล้มครืนลงมา” ครับผม





 3. น่าจะมี "ปืน" ไว้สู้ฝน สู้น้ำท่วม จัดการกับ "รูรั่ว"

           บ้านหลายหลังที่มีรูมีรอยแตกเล็ก ๆ ตามผนังหรือช่องหน้าต่าง ตามรอยต่อของผนังกับเสาและคาน หรือแม้แต่ตามรั้วบ้าน ซึ่งบางครั้งเราไม่มีเวลา (หรืองบประมาณ) ที่จะแก้ไขได้ที่ต้นเหตุ จะตามช่างมาซ่อมแซมหรือก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หรือไม่ทันเวลาเสียแล้ว

           ดังนั้น เราก็น่าจะมีวัสดุอุดประสานรอยจำพวก ซิลิโคน หรืออะคริลิค หรือโพลี่ยูริเทน เอาไว้ เพื่ออุดรอยเหล่านี้ ซึ่งเราน่าจะทำได้ด้วยตัวเอง (โดยเฉพาะในจังหวะที่เศรษฐกิจไม่ดี หรืออยากจะฝึกตัวเองเป็นช่างบ้าง)  แต่การที่เราจะใช้วัสดุ ประสานที่มีความยืดหยุ่นและอยู่ในหลอดแข็งๆนี้ได้ เราจะต้องมีอุปกรณ์การ "ฉีด" ซึ่งภาษาช่างทั่วไปเขาเรียกกันว่า "ปืน" ซึ่งราคาไม่แพงเลยครับ

           บางครั้ง ท่านอาจจะต้อง "พกปืน" ไว้ในบ้านของท่านสักชุด เพื่อช่วยเหลือตัวเองในการต่อสู้ ป้องกันน้ำไม่ให้ไหลเข้ามาในบ้านของเราครับ



4. อย่าให้ต้นไม้ล้มทับบ้าน ยามน้ำท่วมและพายุมา

         ต้นไม้ทั้งหลายที่อยู่ในบ้านหรือใกล้บ้านเราจะเป็นอันตรายยามมีพายุมา เพราะต้นไม้อาจจะล้ม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ที่ล้อมจากที่อื่นมาปลูก เพราะต้นไม้เหล่านั้นไม่มี "รากแก้ว" ครับ) หรือกิ่งต้นไม้บางประเภทที่ค่อนข้างเปราะ (เช่น ต้นประดู่กิ่งอ่อน) อาจจะหักลงมาสู่ตัวบ้านเรา ต้องทำการเล็มกิ่งหรือตัดกิ่งบางกิ่งออกไปเสีย

          ยามเมื่อน้ำท่วม ระดับน้ำใต้ดินจะสูงมาก (หรือน้ำท่วมเข้ามาได้จริงๆ) รากของต้นไม้จะแช่น้ำเป็นเวลานาน รากต้นไม้จะเน่าได้ แล้วความสามารถในการยึดเกาะกับดินก็จะน้อยลง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีรากแก้ว) ต้นไม้ก็อาจจะล้มลงได้ ต้องทำการค้ำยันลำต้นเอาไว้ให้ดี ก่อนน้ำจะท่วมครับ

          สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องการให้ปุ๋ย ซึ่งตอนที่น้ำท่วมห้ามให้ปุ๋ยต้นไม้ครับ เพราะจะทำให้รากเน่าเร็วขึ้น (ต้นไม้ที่โดนน้ำท่วมก็เหมือนคนป่วย เขาไม่ต้องการอาหารดี ๆ (แต่ย่อยยาก) ครับ ขอให้หายป่วยเสียก่อนค่อยกินอาหารดี ๆ เยอะ ๆ ได้ครับ)





 5. ตรวจสอบถังน้ำใต้ดิน

          บ้านใครมีถังน้ำใต้ดิน ต้องตรวจสอบ "ฝา"  ของถังน้ำให้ดี ๆ เพราะเวลาน้ำท่วม ถังน้ำจะอยู่ใต้น้ำด้วย หากฝาของถังน้ำมีระบบป้องกันน้ำเข้าไม่ดี น้ำสกปรกที่ท่วมเข้ามา ก็จะไปปนกับน้ำสะอาดในถังน้ำของเรา ปัญหาเรื่องโรคภัยต่าง ๆ ก็จะตามเข้ามาหาตัวเราโดยทันทีครับ

          หากเราไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำเล็ดลอดเข้ามาในถังของเราได้ ก็ขอให้ต่อท่อน้ำตรงจากท่อประปาหน้าบ้านเรา เข้ามาที่ตัวบ้านของเราเลย (โดยปกติแล้ว บ้านที่มีถังน้ำใต้ดินจะมีวาล์วหมุนเปิดทางให้น้ำประปาจากหน้าบ้านเรา วิ่งผ่านตรงเข้ามาในบ้านโดยไม่ลงไปที่ถังน้ำใต้ดินได้ ต้องหาวาล์วตัวนี้ให้เจอ แล้วต่อตรงเข้ามาเลยดีกว่า น้ำจะเบาลงหน่อย แต่ก็ยังเป็นน้ำสะอาดครับ)




 6. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้านอกบ้าน ตัดกระแสไฟเสีย

           ภายนอกบ้านของเราจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายอย่างเช่น ปั๊มน้ำ เครื่องปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งไฟสนาม และกริ่งหน้าบ้าน ต้องหาสวิตร์ตัดไฟให้พบว่า จะต้องตัดไฟตรงไหนไม่ให้ไฟฟ้าวิ่งเข้าไปที่อุปกรณ์เหล่านั้นได้ ยามเมื่อน้ำท่วมเข้ามา ต้องทำการตัดไฟตรงนั้นเสีย (แม้กระทั่งยามจะเข้านอน ถ้าไม่แน่ใจว่าน้ำจะท่วมเข้ามาตอนเราหลับอยู่หรือเปล่า ก็ต้องปิดสวิตช์ไฟฟ้าของอุปกรณ์เหล่านั้นเสีย ตื่นมาตอนเช้า หากน้ำยังไม่ท่วม ก็ค่อยเปิดสวิตช์ใหม่อีกครั้งหนึ่งครับ)

          ส่วนการย้ายเครื่องมือย้ายอุปกรณ์เหล่านั้นในตอนนี้ หากแน่ใจว่าน้ำท่วมแน่ และมีช่างมาช่วยย้าย ก็อาจจะย้ายได้ แต่หากไม่มีช่างมาช่วย ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำเอง ก็อาจจะต้องยอมให้อุปกรณ์เหล่านั้นแช่น้ำไปก่อนตอนน้ำท่วม



 7. ป้องกัน งู เงี้ยว เขี้ยว ขอ ตะกวด และสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ

          ยามน้ำท่วม มิใช่เพียงมนุษย์และสัตว์เลี้ยงของเราเท่านั้นที่ต้องหนีน้ำท่วม แต่เหล่าสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องหนีน้ำกันด้วย และการหนี้น้ำท่วมที่ดีที่สุด ก็คือการเข้ามาในบ้านของเรา เพราะบ้านของเราพยายามกันน้ำท่วมอย่างดีที่สุดแล้ว

          ปัญหาก็คือ เหล่าสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ที่ทั้งเลื้อยและทั้งคลานเข้ามาในบ้านเรา เป็นสิ่งที่เราไม่ต้อนรับ และอาจเป็นผู้ทำอันตรายเราด้วย ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า "รู" ต่าง ๆ ของบ้านเราจะต้องโดน "อุด" เอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูที่ประตูหน้าต่าง หรือที่ผนังบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รูจากท่อระบายน้ำ" ที่พื้นบ้านของเรา (เขาชอบมาทางนี้กันครับ)

          บาง ท่านอาจจะมีการโรย "ปูนขาว" ล้อมรอบบ้านเอาไว้ด้วยก็ได้ (แต่ต้องมั่นใจว่าโรยรอบบ้านจริง ๆ และไม่ถูกน้ำท่วม หรือถูกฝนชะล้างจนหายไปหมดครับ) เพราะปูนขาวจะกันสัตว์เหล่านี้ได้ครับ นอกจากนี้ก็น่าจะเตรียมยาฉีดกันแมลง ติดบ้านไว้ด้วยครับ




 8.  เรื่องส้วม ส้วม ส้วม สุขา สุขา

          เป็นเรื่องของความสุขที่เปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ทุกครั้งที่เกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบส้วมที่เป็นระบบบ่อเกรอะ บ่อซึมแบบเดิม ที่น้ำจากการบำบัดจะต้องซึมออกสู่ดิน แต่พอน้ำท่วม น้ำจากดินภายนอกจะซึมเข้ามาในบ่อ ก็ทำให้บ่อเกรอะเต็มไปด้วยน้ำ ส้วมก็จะเกิดอาการ "อืด และ ราดไม่ลง" หากน้ำจากภายนอกท่วมมาก มีแรงดันมาก ก็อาจจะเกิดอาการ "ระเบิด" ทำให้สิ่งปฏิกูลต่างๆ พุ่งกลับมาที่โถส้วม ความสุขหายไป ความทุกข์ปล่อยออกไม่ได้

          ในกรณีนี้ ต้องยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ต้องป้องกันไม่ให้สิ่งปฏิกูลทั้งหลายพุ่งกลับออกมาทางโถส้วม ต้องปิดโถส้วมให้ดี หากเป็นโถส้วมนั่งราบที่มีฝาปิด ก็ต้องปิดฝาให้แน่น เอาเชือกผูกเอาไว้ หากเกิดอาการพุ่งขึ้น ก็จะไม่เรี่ยราดทำความสะอาดยาก กรณีนี้ทำเฉพาะโถส้วมชั้นล่างก็พอ เพราะน้ำคงไม่ท่วมถึงชั้นสองครับ (เพราะหากท่วมถึงชั้นสอง เราคงไม่ได้อยู่ในบ้านได้แล้ว)

          กรณีที่เป็นบ่อบำบัดสำเร็จ ซึ่งเขาจะทำงานโดยไม่ต้องมีบ่อเกรอะบ่อซึม ในเวลาปกติเขาจะบำบัดจนเสร็จภายในถังเอง แล้วก็จะระบายน้ำที่บำบัดเสร็จแล้วลงท่อระบายน้ำนอกบ้านของเรา ยามเมื่อน้ำท่วม น้ำจากบ่อบำบัดจะไหลระบายออกไปไม่ได้ เพราะระดับน้ำที่ท่วมอยู่สูงกว่าบ่อบำบัด ซึ่งเป็นการแก้อะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นครับ

          ถังบำบัดสำเร็จบางรุ่นจะมีมอเตอร์อัดอากาศเข้าไป (ซึ่งในบ้านส่วนใหญ่จะไม่ใช้รุ่นนี้) ก็ต้องตรวจดูว่ามอเตอร์อยู่ที่ไหน หากมอเตอร์น่าจะอยู่ในระดับที่น้ำท่วมถึง ก็ต้องตัดกระแสไฟไม่ให้เข้าไปสู่ตัวเครื่องกลนั้นครับ

          ทั้งนี้สิ่งที่ต้องระวังก็คือ "ท่อหายใจ" ที่เป็นท่อระบายอากาศของระบบส้วมของเรา ต้องมั่นใจว่าท่อหายใจนั้นจะต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำที่มีโอกาสท่วม หากท่อหายใจของเราอยู่ระดับต่ำ ก็ต้อง "ต่อท่อ" ให้มีระดับสูงขึ้นให้ได้ จะต่อแบบถาวรก็ได้ (หากมีช่างมาทำ หรือเราทำเป็น) หรือจะต่อแบบท่อไม่ถาวร ก็คือเอาสายยางธรรมดา มาครอบท่อหายใจเดิม แล้วก็ยกให้ปลายท่อนั้นอยู่สูงขึ้นกว่าระดับน้ำที่คาดหมายว่าจะท่วมครับ

           ท่อหายใจนี้จะเป็นอุปกรณ์สำคัญมากในการช่วยระบายความดันภายในระบบส้วมของเรา ไม่ให้สิ่งปฏิกูลมีแรงดันมากเกินไปครับ     




 9. ปลั๊กไฟ สวิตช์ไฟ ตรวจสอบและแยกวงจร

             เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของบัญญัติ 20 ประการของบทความนี้ เพราะอันตรายที่มองไม่เห็นก็คือเรื่องของ "ไฟฟ้า" ครับ แต่ในขณะเดียวกัน ไฟฟ้าก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตเสียแล้ว

           หากบ้านของเรามีการแยกวงจรไฟฟ้าไว้ตั้งแต่แรก คือวงจรไฟฟ้านอกบ้าน วงจรไฟฟ้าชั้นล่าง และวงจรไฟฟ้าชั้นบน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้านอกบ้านเมื่อน้ำท่วมนอกบ้าน หากน้ำสูงขึ้นมาจนเข้าในตัวบ้าน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้าชั้นล่าง หากน้ำสูงขึ้นถึงชั้นสอง น่าจะหาทางออกจากบ้านเพื่อย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เพราะสวิตช์หลักของบ้านโดยทั่วไปจะอยู่ที่ชั้นล่างระดับประมาณ 1.8 เมตรจากพื้นห้องครับ

           กรณีที่บ้านไหนโชคดี วงจรไฟฟ้าชั้นล่างแยกวงจรออกมาเป็นระดับปลั๊กด้านล่างและระดับสวิตซ์บน ก็ค่อย ๆ ตัดวงจรปลั๊กชุดล่างก่อนตามระดับน้ำที่ท่วมขึ้นมา

          หากกรณีที่ไม่มีการจัดวงจรเอาไว้อย่างเป็นระบบตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เราต้องค่อยๆทำการทดสอบอย่างใจเย็น ๆ ว่าปลั๊กหรือสวิตช์ชุดใดจะมีการตัดวงจรไฟฟ้าจากคัทเอาท์หลักบ้าง แล้วทำโน้ตบันทึกเอาไว้ หากเมื่อน้ำท่วมเมื่อไร ก็จะได้ทราบว่าเราต้องตัดวงจรชุดใดก่อน (ตัดวงจรส่วนที่ถูกน้ำท่วม) อาจจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากหน่อยที่จะตรวจสอบ แต่ก็ต้องใจเย็น ๆ และตั้งใจที่จะตรวจสอบครับ

          ในกรณีที่วงจรบางวงจรที่ควบคุมทั้งปลั๊กหรือสวิตช์ตัวล่างกับปลั๊กหรือ สวิตช์ตัวบน ก็จำเป็นต้องตัดวงจรทั้งหมด ห้ามเสี่ยงโดยเด็ดขาดครับ

          อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่สามารถขนย้ายได้ในตอนนี้ ก็อาจขนย้ายขึ้นไปไว้ชั้นบนก่อน ยังไม่ต้องใช้ตอนนี้ก็ได้เช่น เตาไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องตีไข่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องชาร์จโทรศัพท์ ฯลฯ ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังต้องใช้งานอยู่ ก็ต้องเตรียมการขนย้ายขึ้นข้างบนเอาไว้เลย เช่นเครื่องไมโครเวฟ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ การขนย้ายยุ่งยาก และหาที่วางยาก เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ ก็ต้องวางแผนว่าจะเอาอย่างไรในปัจจุบันและอนาคต หากยังใช้อยู่แล้วยามน้ำท่วมขึ้น จะมีคนช่วยขนหรือไม่ หรือจะทิ้งเอาไว้อย่างนั้น

          เรื่องไฟฟ้าเป็นอันตรายที่มองไม่เห็น และน้ำเป็น "สื่อไฟฟ้า" ด้วย ดังนั้นเรื่องไฟฟ้าในบ้าน จึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีการตรวจสอบและเตรียมการครับ




 10. ตรวจสอบว่าประตูหน้าต่างแน่นหนาและแข็งแรง

          เพราะว่าประตูบ้านของเรา (ไม่ว่าจะเป็นประตูที่รั้วบ้าน หรือประตูที่ตัวบ้านเรา)  และหน้าต่าง เป็นจุดหนึ่งที่ถือว่ามีความอ่อนแอมากที่สุด มีโอกาสที่จะบิด หรือเผยอตัว หรืออาจจะหลุดออกมาทั้งบาน หากมีแรงดันน้ำมาก ๆ ดันเข้ามา

           ดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบความแข็งแรงให้ดี ต้องพยายามที่จะใช้ "กลอน" ช่วยรับน้ำหนักทางด้านข้างด้วย การลงกลอนในบานประตูและหน้าต่างที่ไม่ได้ใช้เป็นปกติธุระ น่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะป้องกันน้ำวิ่งเข้ามาที่ตัวบ้านของเราได้ครับ

           หากหนักหนาจริง ๆ ประตูหน้าต่างของเราดูจะอ่อนแอรับแรงดันน้ำไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องเอาไม้มาตีพาดขวางช่วยรับแรง หรือเอาของหนักๆมาวางช่วยดันประตูเอาไว้ (ต้องเป็นประตูด้านที่เราไม่ใช้โดยปกตินะครับ ไม่เช่นนั้นอาจจะมีปัญหาตอนที่เราจะหนีออกจากบ้าน หรือตอนที่คนเขาจะเข้ามาช่วยเราในบ้าน ยามเกิดวิกฤติครับ)




11. เตรียมระบบสื่อสารทุกประเภทเอาไว้ให้พร้อม

          ระบบสื่อสารทุกอย่างที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นระบบโทรศัพท์ปกติ หรือโทรศัพท์มือถือ ระบบอินเทอร์เน็ตทั้งมีสายและไร้สาย วิทยุ โทรทัศน์ หรือ อุปกรณ์สื่อสารพิเศษอย่างอื่น (เช่น ระบบดาวเทียม วอร์คกี้ทอร์คกี้ เป็นต้น) เพราะการรับข่าวสาร และการติดตามข่าวสารเรื่องภัยน้ำท่วมที่จะมาถึงตัวเราเป็นเรื่องสำคัญ และไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดในทุกวินาที

          และหากน้ำท่วมแล้ว การขอความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูลเพื่อการช่วยเหลือตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ณ วินาทีวิกฤตินั้นแน่นอน อีกทั้งระบบสื่อสารที่เรามีนั้น มิได้ใช้เพียงการที่เราช่วยตัวเอง แต่อาจจะมีผู้เดือดร้อนคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องการคำปรึกษาจากเรา ก็สามารถติดต่อกับเราได้ ต้องคนละไม้คนละมือเสมอ ทุกคนล้วนลำบากทั้งสิ้นครับ




 12. ชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

             อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายอย่างมีความจำเป็นยามเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น ไฟฉาย วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายภาพ ฯลฯ  จะต้องมีการชาร์จไฟไว้ให้เต็มร้อยตลอดเวลา เพราะยามน้ำท่วม ระบบไฟฟ้าทั้งหมดอาจติดขัดครับ

          นอกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าจะต้องชาร์จไฟให้เต็มที่แล้ว การใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเมื่อไฟฟ้าปกติไม่มา จะต้องประหยัดไฟด้วย เพื่อความมั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะทำงานได้เต็มที่ยามฉุกเฉิน อีกทั้งต้องเตรียมอุปกรณ์อื่นเสริมอีกด้วย เช่น ไม้ขีดไฟ เทียนไข เป็นต้น



 13. ย้ายของทุกอย่างให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม

          ข้าวของในบ้านของเรา ไม่ใช่เพียงเรื่องของอุปกรณ์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เราจะต้องมีการจัดการย้ายให้ อยู่ในที่ที่เหมาะสม แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดว่ามีความสำคัญ และอาจจะเสียหายได้เมื่อมีน้ำท่วม ตั้งแต่รถยนต์ ถังกาซ เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ของขวัญ รูปภาพ ฯลฯ ขอให้ย้ายไปสู่ที่ที่เหมาะสม ซึ่งที่ที่เหมาะสมนั้นอาจจะอยู่ในตัวบ้านของเรา หรือจะย้ายออกไปเก็บไว้นอกบ้าน สถานที่อื่นที่คิดว่าปลอดภัย

          มีข้อมูลว่า เมื่อน้ำท่วม หลายคนเป็นอันตรายอันเนื่องมาจากการ "ห่วงของ" ต้องลุยน้ำกลับไปกลับมาเพื่อขนของออกจากบ้าน และหลายครั้งที่ขนของออกมาแล้ว แต่ไม่มีที่วาง ก็จำต้องวางไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย ปรากฏว่าของที่อุตส่าห์ขนออกมาด้วยความเสียดายหรือความผูกพันนั้น ถูกผู้ชั่วร้ายใจทรามขโมยต่อเอาไปอีกด้วย

           แต่ของที่เราจะย้ายนั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นของทุกอย่างไปเลย เลือกเฉพาะที่เราคิดว่าต้องย้ายเท่านั้น  ของบางอย่างที่แช่น้ำได้ไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องขนย้ายก็ได้



  
14. ใช้พลาสติกซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่กลัวน้ำให้เป็นประโยชน์

            วัสดุส่วนใหญ่จะกลัวน้ำ หรือไม่สามารถที่จะสู้กับน้ำได้ แต่พลาสติกเป็นวัสดุที่ไม่กลัวน้ำ ดังนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นพลาสติก น่าจะต้องมีการเตรียมการเอาไว้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำพลาสติก ท่อพลาสติก กระดานพลาสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ้าหรือแผ่นพลาสติก ที่เราจะเอาไว้ใช้หุ้มอุปกรณ์หรือส่วนต่าง ๆ ของบ้านเรา ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ฯลฯ แม้กระทั่งการหุ้มป้องกันตัวเรา หรืออวัยวะบางส่วนของตัวเราครับ

          ขอให้หาซื้อผ้าหรือกระดานพลาสติกเก็บเอาไว้ใกล้มือเรา ยามฉุกเฉิน พลาสติกจะเป็นวัสดุอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์มากจนคาดไม่ถึงได้ครับ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ "ห่วงยาง" ครับ



15. เตรียมอาหาร น้ำดื่ม และยาให้พร้อม

            เพราะยามน้ำท่วมแล้ว เราอาจจะต้องติดอยู่ในบ้านของเราก็ได้ สิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพของเราก็คือ "อาหาร" ที่ต้องเตรียมเอาไว้ ทั้งอาหารที่ต้องมีการปรุงด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า (หรือก๊าซ) กับอาหารที่สามารถกินได้เลย โดยไม่ต้องมีการปรุง และต้องเตรียมเรื่อง "น้ำดื่ม" เอาไว้ด้วย เตรียมให้เพียงพอสำหรับทุกคนประมาณ 3 วันครับ

           ยาเป็นสิ่งสำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่เราต้องเตรียมเอาไว้ (ในที่ที่ปลอดภัย) ยาหลัก ๆ ก็คือ ยาแก้ปวด ยากแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย ยารักษาโรคน้ำกัดเท้า ยาล้างแผล ยาแก้แพ้  ยากันแมลงและยาของโรคประจำตัวของทุกคน

           มีผู้หวังดีแนะนำบอกต่อว่า อย่าสะสม "สุรา" เอาไว้ตอนน้ำท่วม เพราะน้ำท่วมนาน ๆ อาจจะมีคนกลุ้มใจ แล้วใช้สุราแก้ความกลุ้มใจ จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยมากขึ้น ส่วนเหล่าขวดสุราที่เก็บสะสมเอาไว้ ไม่ต้องขนไปไกลก็ได้ เพราะขวดสุราเหล่านั้น เขาสามารถแช่น้ำได้ ไม่มีปัญหาประการใด



 16. บ้านชั้นเดียว ต้องตรวจสอบหลังคาด้วย

             สำหรับบ้าน 2 ชั้น หลังคาบ้านจะมีผลมากยามเมื่อฝนตกหนัก ๆ ในกรณีน้ำท่วมนั้นหลังคาไม่ค่อยมีผลมากเท่าไร เพราะน้ำท่วมจากข้างล่างขึ้นไป หากท่วมถึงหลังคาชั้นสอง เราก็น่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อนหน้านั้นแล้ว

          แต่กรณีที่เป็นบ้านชั้นเดียว น้ำอาจจะท่วมชั้นล่างของบ้านอย่างรวดเร็ว หลังคาหรือส่วนของหลังคาจึงเป็นพื้นที่หลบภัยได้ชั่วคราวพื้นที่หนึ่ง เราจึงต้องตรวจสอบทางหนีทีไล่ของเรา กรณีที่เราต้องขึ้นไปหนีภัยบนหลังคา ซึ่งเราอาจจะขึ้นไปทางฝ้าเพดานของเรา (กรุณาอย่าลืมตัดวงจรไฟฟ้าที่บ้านทั้งหมดก่อนจะขึ้นไปบนฝ้าเพดานสู่หลังคานะ ครับ)
  


 17. ระวังโจร ระวังมาร ระวังผู้ชั่วร้าย

             เป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสลดใจที่สังคมน่าอยู่และเห็นอกเห็นใจของเมืองไทย เรา ได้ถูกลัทธิวัตถุนิยมเข้าครอบงำไปหลายส่วนแล้ว ดังนั้นเราจึงได้ข่าวเนือง ๆ ว่า มีผู้ชั่วร้ายที่อยากได้ประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก เข้ามารังแกจี้ปล้นประชาชนที่กำลังลำบากทุกข์เข็ญ

           ยามน้ำท่วม เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังยุ่งกับภารกิจอย่างอื่น เหล่าคนชั่วก็จะออกอาละวาดรังแกผู้ที่กำลังเดือดร้อน มีการขโมย จี้ปล้น ฉกชิงวิ่งราว ให้เราได้ทราบอยู่เป็นประจำ และมีความเป็นไปได้ว่าหนึ่งในอนาคตนั้นอาจจะเป็นตัวเราและบ้านของเรา

          ดังนั้น การเตรียมการป้องกันโจร จึงเป็นอีกประการหนึ่งที่เราต้องเตรียมการ อย่าเก็บของมีค่าเอาไว้ในบ้านของเรา เอาไปฝากที่อื่นก่อนดีกว่า เงินทองไม่จำเป็นที่ต้องพกมากมาย และคอยเฝ้าสังเกตบุคคลที่น่าสงสัย  การส่งเสียงดัง ๆ ในบางครั้ง จะเป็นอาวุธป้องกันตัวเราได้



 18. เพื่อนบ้าน ต้องร่วมด้วยช่วยกัน

          ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องของการต่อสู้ป้องกันโจรประการเดียว แต่หมายถึงในทุก ๆ กรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เรา "ขอความช่วยเหลือ" จากเพื่อนบ้าน แต่หมายถึงการที่ "เราจะช่วยเหลือเพื่อนบ้าน" ด้วย รวม ๆ กันก็หมายถึง "การสร้างชุมชนเข้มแข็ง" เพราะความรักที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้เสมอยามที่คนเรามีความลำบากร่วมกัน

          อย่าต่อสู้หรือป้องกันภัยทั้งหลายคนเดียว ต้องสื่อสารกัน ต้องจับมือกัน และวางแนวทางการป้องกัน การต่อสู้ที่เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น แล้วเราจะมีโอกาส หากตอนนี้เหล่าเพื่อนบ้านยังไม่มีการเคลื่อนไหวร่วมกัน เราก็อาจจะเป็นแกนตัวเล็ก ๆ ที่จะเป็นผู้เริ่มต้นได้ครับ  อย่าอาย อย่ากลัวใครเขาหมั่นไส้ครับ หากเราเป็นคนดี มีจิตใจดี ทุกคนจะเข้าใจครับ



19. เตรียมทางหนีทีไล่เพื่อออกจากบ้าน

           ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การป้องกันน้ำท่วมก็เหมือนการป้องกันเมืองจากการโจมตีของข้าศึก ซึ่งเราอาจจะป้องกันเอาไว้ได้หรือป้องกันไม่ไหวก็ได้ หากถึงที่สุดแล้ว เราไม่มีทางต่อสู้ได้แน่ ๆ  พ่ายแพ้แล้ว  การเตรียม "ทางหนี" เป็นเรื่องที่จำเป็น หากเราเตรียมทางหนีเอาไว้แต่แรก เราก็สามารถหนีได้ หนีทัน เกิดความเสียหายน้อยลง

          ทางหนีจากกรณีน้ำท่วมบ้าน อย่าคิดเพียงทางหนีออกจากบ้าน แต่ต้องคิดให้จบว่าหนีออกไปแล้ว จะหนีด้วยอะไร มีเรือหรือห่วงยางหรือไม่ มีเชือกสาวตัวเองหรือไม่ จะพกอะไรติดตัวไปบ้าง (ที่สามารถพกพาแบกหามไปได้) และจะมุ่งหน้าไปทางทิศใด มุ่งหน้าไปไหน และจะไปหยุดที่ใด พักที่ใด กับใคร ทุกอย่างต้องคิดเป็นกระบวนการ และคิดให้จบวงจรไว้แต่แรกครับ



20. ตั้งจิตให้มั่น ตอนนี้ "สติ" สำคัญที่สุด

            อย่าเสียเวลากับการเกรี้ยวโกรธ อย่าเพิ่งด่าอะไรใคร อย่าโทษฟ้าดิน ยังมีเวลาและโอกาสอีกมากมายที่จะทำเช่นนั้น เวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องตั้งสติ และคิด และเตรียมการอย่างเป็นระบบ เราต้องรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ อย่างทันต่อเหตุการณ์จากคนที่เชื่อถือได้ (ระวังคำพูดนักการเมืองนิดนะครับ)  ต้องฟังวิทยุ หรือแม้แต่ติดตามทางอินเทอร์เน็ต (เช่น thaiflood.com หรือ flood.gistda.or.th เป็นต้น)




             ค่อย ๆ กลับไปอ่านตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 19 แล้วอาจจะเพิ่มข้ออื่น ๆ ที่เราคิดออกเข้าไปอีกได้ เมื่ออ่านแล้วก็ตรวจสอบ และลงมือทำทันที.... ตอนนี้ "สติ" สำคัญที่สุด...


             กระปุกดอทคอมหวังว่า บัญญัติ 20 ประการ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่กำลังประสบภัยในครั้งนี้ ... ขอให้ทุกท่าน เตรียมตัว และตั้งสติ ที่จะรับมือให้ดี ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดนะคะ ...แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ ^ ^



 

 
บัญญัติ 21 ประการ ดูแลบ้านหลังน้ำท่วม

 






บัญญัติ 21 ประการ ดูแลบ้านหลังน้ำท่วม  
Thanks:   กระปุก
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก อาจารย์ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์


             หลัง จากที่วิกฤติน้ำท่วมได้ถาโถมเข้ามาอย่างหนัก และเริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ  บรรดาประชาชนทุกคนตอนนี้ก็คงเฝ้าระวัง และเตรียมตัวกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะนี้...  ส่วนผู้ประสบภัยที่บ้านถูกน้ำท่วมไปแล้ว ก็คงได้แต่ทำใจ และภาวนาให้เหตุการณ์ร้าย ๆ เช่นนี้ผ่านพ้นไปได้สักที 

              อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้กระปุกดอทคอมได้นำเสนอบทความของ อาจารย์ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ ในหัวข้อ "บัญญัติ 20 ประการเตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม"  มาฝากกันแล้ว วันนี้เรามีบทความดี ๆ จากอาจารย์ยอดเยี่ยม มาฝากสำหรับผู้ประสบภัย ที่บ้านต้องจมอยู่ใต้บาดาล ...ไปดูกันซิว่า หลังน้ำลดแล้วมีวิธีดูแล และฟื้นฟูบ้านอย่างไรบ้าง ...



1. น้ำท่วมแล้ว น้ำลดแล้ว บ้านมีปัญหา เริ่มต้นที่ไหนดี

             ความทุกข์ยากลำบากฉากแรกเพิ่งกำลังจะผ่านไปหลังน้ำลด แต่ความทุกข์ใหม่ กำลังเข้ามาแทนที่ เพราะสภาพ ของบ้าน อันถือว่าเป็นหนึ่ง ในปัจจัย 4 ของเรา มีสภาพที่น่าอึดอัด น่าอันตรายและเป็นรอยแผลที่หลายคน อยากจะเมินหน้าหนี

             หากคิดจะแก้ปัญหาบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าปัจจุบัน (แม้ไม่ สามารถ จะเปรียบเทียบ เท่ากับอดีต) แนะนำในฐานะลูกหลาน พี่น้องว่าน่าจะ เริ่มต้นดังนี้

             1.) อย่าซีเรียสว่า ทำไมน้ำถึงท่วม ราชการหรือรัฐบาลไปอยู่ที่ไหน เพื่อน ๆ ในถิ่นอื่นทำไมบ้านเขา น้ำไม่ท่วม ฯลฯ เพราะนั่นไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหา "บ้านหลังน้ำท่วม" ที่เรากำลังจะคุยกันในบันทึกนี้

             2.) ทำการตรวจสอบด้วยจิตอันนิ่งๆว่า บ้านเราเกิดปัญหาใดเพิ่มขึ้นบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับ ก่อนน้ำท่วม เช่นรั้วเอียง ปาเก้ล่อน แมลงสาบหายไปไหน ค่าไฟเพิ่ม ฯลฯ และ ทำบันทึกไว้เป็นข้อ ๆ ให้อ่านง่ายจดจำง่าย (ภาษาฝรั่ง เขาเรียกว่าทำ Check List)

             3.) ถามตนเองว่าสภาพการเงินเราเป็นอย่างไร มีเงินจะใช้สำหรับการซ่อมแซมเท่าไร (รวมถึง การกู้ยืม แหล่งอื่น แต่ไม่รวม การโกง บ้านกินเมือง) จะได้วางแนวทางการจ่ายเงินอย่างมีขีดจำกัด และมีความเป็นไปได้

             4.) เปิดบันทึกนี้อ่านให้จบ อย่าโกรธหากบางตอนของบันทึกนี้มีรูปตลกเกินไป หรือเขียนแบบสบาย ๆเกินไปบ้างในบางประโยคครับ



2. น้ำไม่ท่วมบ้าน แต่ท่วมถนนซอยหน้าบ้าน ต้องทำอะไรไหมหนอ

             น้ำ ไม่ท่วมตัวบ้าน หรือแม้แต่บริเวณสนามหญ้าในบ้าน แต่ท่วมที่ถนนหน้าบ้านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่น่าจะวางใจนัก เพราะ ส่วนที่บ้านเรากับทางสาธารณะ จะต้องเชื่อมประสานกันมากที่สุด และเรามักจะมองข้ามไปก็คือ "ท่อระบายน้ำ" ที่ถ่ายเทน้ำจากบ้านเรา ระบายออกสู่ท่อระบายน้ำของหลวง

             ใน ยามที่น้ำท่วมทางสาธารณะ แน่นอนน้ำจะต้องท่วม ท่อระบายน้ำของหลวงท่านด้วย น้ำในบ้านเราก็เลยไม่ระบายออก แถมในทางกลับกัน น้ำในท่อระบายน้ำสาธารณะ อาจจะไหลกลับเข้าสู่บ้านเราได้

             เมื่อ มีการไหลกลับเช่นที่ว่า นอกจากจะพาเอาน้ำเข้ามาแล้ว ยังน่าจะพาเอาเศษดินโคลนต่าง ๆ เข้ามาด้วย เมื่อน้ำค่อย ๆ ลดลง เศษดิน โคลน ก็จะกองติดอยู่ในท่อระบายน้ำบ้านเรา ท่อระบายน้ำบ้านเราที่เล็กอยู่แล้ว ก็จะเกิดอาการอุดตัน หรือมีพื้นที่ว่างเหลือน้อยกว่าปกติ แนวทางในการแก้ไขและข้อควรจะระวัง น่าจะมีดังต่อไปนี้

             หากเป็นท่อระบายน้ำระบบมีฝาเปิดตลอดแนว ก็เปิดฝาแล้วตักไอ้เจ้าดินโคลนเศษขยะนั้นออก

             หาก เป็นท่อระบบไม่มีฝาเปิดตลอด ก็เอาไม้ยาว ๆ ควานดู (แบบที่เขาขุดลอกท่อระบายน้ำของ กทม. นั่นแหละครับ) หากทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำไม่ไหว ขี้เกียจทำ ก็ไปจ้างคนอื่นเขาทำ แต่ขอร้องเถอะครับ อย่าเอาตัวมุดลงไป ในท่อแล้วทำเอง เพราะอาจไม่ได้กลับออกมา

             อย่า พยายามใช้น้ำฉีด เพราะจะเปลืองน้ำมากและยังคงทำความสะอาดท่อลำบาก แถมยังทำบาปกับคนอื่นเขา เพราะ เจ้าเศษโคลน ทั้งหลายจะระบายลงสู่ ท่อสาธารณะ ทำให้ท่อของหลวงท่าน อุดตันตื้นเขิน …อันเป็น สาเหตุ หนึ่ง ที่ทำให้น้ำท่วมบ้าน ท่วมเมือง เนื่องจากระบายน้ำไม่ได้ อย่างที่น่าจะเป็น

             เมื่อ ทำการกวาดล้างเสร็จแล้ว ลองตรวจสอบอีกครั้งดูว่าระดับน้ำในท่อระบายน้ำเรานั้นไหลไปทางไหน ขอให้แน่ใจว่า จะไหลออกจากบ้านเรา สู่ท่อสาธารณะ หากยังไหลกลับทางกัน กรุณากลับไปอ่าน ข้อที่หนึ่งใหม่

             หาก หน้าบ้านท่านไม่มีท่อระบายน้ำสาธารณะ ก็ให้ตรวจสอบว่าน้ำไหลไปทางไหน ระบายออกทางไหน และให้ถือว่า จุดที่น้ำระบายออก จากบ้านเรา เป็นทางสาธารณะไปก่อน (หวังว่าบ้านท่านคงจะ ไม่ระบายน้ำ สะเปะสะปะ ผิดกฎหมายนะครับ)



3. รั้วคอนกรีตที่แข็งแรงของผม ต้องตรวจดูอะไรหลังน้ำลดไหม

             น้ำคือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่มนุษย์จะไปท้าทายแข่งขัน รั้วคอนกรีตของท่าน คงจะไม่สามารถฝืนกฎนี้ได้

             ปัญหา ที่อาจจะเกิดกับรั้วของท่านก็เป็นเรื่องจากยามน้ำท่วม ดินที่ฐานรั้วท่านอาจจะอ่อนตัวลง ความสามารถในการ รับน้ำหนัก อาจจะน้อยลง หรือระดับที่ดินในบ้านกับนอกบ้านท่านมีระดับแตกต่างกัน ยามเมื่อน้ำที่ท่วมลดลง อาจจะเกิดแรงดูด ทำให้รั้วของท่าน เอียงไปก็ได้ หรือในขณะที่น้ำท่วมรั้วของท่าน อาจต้องทำหน้าที่เป็น "เขื่อน" ที่ต้องรับน้ำหนักน้ำเป็นอย่างมาก ความสามารถในการรับน้ำหนักอาจ "คลาก" ความแข็งแรงลดลงไปได้ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจกรุณาตรวจสอบ และหาแนวทางแก้ไขดังนี้

             ใช้ สายตาของท่านเล็งดูว่ารั้วของท่านยังตั้งฉากอยู่ดีหรือไม่ หากมีการเอียงเล็กน้อยก็เอาไม้ค้ำยันด้านที่เอียงออก เอาไว้ก่อน มีสตางค์เมื่อไรก็รีบซ่อมทันที

             หาก ตรวจสอบแล้วปรากฏว่ารั้วของท่านเอียงมาก เอียงจนแนวออกหรือจะออกนอกแนวศูนย์ถ่วง (C.G.) ต้องรีบซ่อมแซมทันที (โดยช่างก่อสร้าง ที่พอจะมีความรอบรู้) หากยังไม่มีงบประมาณ ก็ต้องค้ำยันไว้ อย่างแน่นหนามาก ๆ เพราะน้ำหนักรั้วที่แข็งแรงของท่านนั้นหนักมาก (ไม่เชื่อลองไปนอนให้รั้วพังทับดูก็ได้ไม่ว่ากัน)

             หาก รั้วของท่านมีคานคอดิน (คานตัวล่างสุดที่อยู่ใกล้ระดับดิน) รับน้ำหนักรั้วอยู่ พอน้ำลดลง น้ำอาจพาดิน ใต้คานคอดินของท่าน ออกไปด้วย ก็จะเกิดรูโพรงใต้คานรั้วของท่าน อันอาจเป็นเหตุให้สัตว์ต่าง ๆ เดิน - วิ่ง - มุด - เลื้อย เข้าไปในบ้าน ของท่านได้ หรือไม่ก็ทำให้ดินของท่านไหลออกจากบ้านสู่ทางสาธารณะไปเรื่อย ๆ ภายหลัง (อันทำให้ดินของท่าน หมดสนาม และถนนสาธารณะต้องสกปรก) ก็ขอให้เติมดินอัดกลับเข้าไป ให้คงเดิม

             นอก จากจะตรวจดูที่รั้วบ้านแล้ว ท่านน่าจะต้องตรวจดูที่ประตูรั้วท่านด้วย เพราะประตูส่วนใหญ่ จะทำด้วยเหล็ก หรือไม้ (พวกอัลลอยด์ไม่ค่อยเป็นอะไร ยกเว้นบริเวณบานพับหรือกลอนที่อาจจะทำด้วยเหล็ก) อาจมีอาการผุกร่อนได้ ทำให้บานประตูไม่สามารถปิดได้เหมือนเดิม หรืออาจจะหลุดออกมาทั้งบาน !!! ทำการผูกรัดให้แข็งแรงเสีย มีเงินเมื่อไร อย่าลืมควักออกมาซ่อมแซมก็แล้วกัน




4. ช่วยด้วย ต้นไม้บ้านหนู เขากำลังจะตายกันหมด

             น้ำท่วมคราวนี้คร่าชีวิตต้นไม้ไปมากมาย ทั้งพืชทางเศรษฐกิจและพืชที่เราปลูกกันไว้ในบ้าน หากบ้านใดน้ำท่วมเป็นเวลานาน ต้นไม้ต้นหญ้าขนาดเล็ก จะต้องตายหมดแน่นอน แนวทางการแก้ไขก็คือ ต้องเริ่มต้นปลูกกันใหม่ (ต้นไม้เขาตายไปแล้ว เรามิใช่เทวดาที่จะเรียก ให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้) แต่ต้นไม้บางต้นที่ยังไม่ถึงที่แต่ก็กำลังจะถึงที่ตาย มีแนวทางที่ เรา จะช่วยเหลือเยียวยาเขาได้ ลองทำดังนี้ดูนะครับคุณหนู 

             อย่า ให้ปุ๋ยเด็ดขาด (ทั้งปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ปุ๋ยธรรมชาติ หรือปุ๋ยนางงามจักรวาล) เพราะน้ำท่วมทำให้รากต้นไม้ อ่อนแอ เขาต้องการ เวลาพักฟื้นตัว ไม่ใช่ต้องการปุ๋ย (อย่างคนอาการโคม่า ย่อมไม่ต้องการรับประทาน สเต๊ก เนื้อสันฉันนั้น)

             ขุด หลุมเล็กขนาดลึกสัก 50 ซม. ถึง 1 เมตร ไว้ข้าง ๆ ต้นไม้นั้น เพื่อให้น้ำที่ขังอยู่บริเวณรากไม้ไหลลงสู่หลุมที่เราขุด เป็นการช่วยอาการรากสำลักน้ำได้ แล้วก็คอยเอาเครื่องดูดน้ำเล็ก ๆ (ภาษาชาวบ้านเรียกเจ้าเครื่องนี้ว่า ไดรโว่ ราคาประมาณ สองถึงสามพันบาท) คอยสูบน้ำออก แต่หากไม่มีกะตัง จะซื้อเครื่องสูบน้ำนี้ ก็ต้องออกแรงขุดหลุม กว้างหน่อย (อย่ากว้างมาก จนต้นไม้เขาล้ม) แล้วใช้ขันหรือถังค่อย ๆ เอื้อมมือตักน้ำออก

             หาก เห็นว่า รากต้นไม้ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะยึดลำต้นเอาไว้ กรุณาอย่าอัดดินลงไปให้แน่นเป็นอันขาด ต้นไม้เขาจะรีบ ๆ ตาย ทันที ให้ใช้วิธีดามหรือค้ำยันลำต้นเอาไว้แทน รอจนรากเขาแข็งแรงเหมือนเดิม แล้วจึงเอาไม้ดามไม้ค้ำยันออก

             ขอ ให้หนูโชคดีในการรักษาต้นไม้เอาไว้ หากโชคร้ายเขาต้องตายจากไป กรุณาปลูกขึ้นมาใหม่ เพราะต้นไม้หนึ่งต้น ขนาดต้นมะม่วงบ้านเรา จะถ่ายเทความร้อนได้เท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน แถมยังมีร่มเงาให้เราอีก ผลิตอากาศบริสุทธิ์ ให้เราใช้ กรองเสียงและกรองฝุ่นออกจากตัวบ้านเรา เราจะได้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง ประเทศเราจะได้ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าสร้างเขื่อน และน้ำก็จะท่วมประเทศไทยน้อยลง เราก็จะลำบากน้อยลง


  

5. ปาเก้บ้านดิฉัน กลายเป็นปลาลอยน้ำ น่าปาทิ้งไหมคะ ?

             ก่อนอื่นต้องขอภาวนาว่าพื้นปาเก้ที่บ้านคุณนั้น เป็นปาเก้พื้นชั้นล่าง ไม่ใช่ปาเก้พื้นชั้นบน แต่ที่ว่าน่าจะปาทิ้งหรือไม่นั้น ผมขออนุญาต เล่าและอธิบายดังนี้

             ปา เก้เป็นไม้ซึ่งอยู่ได้ด้วยกาว ดังนั้น พื้นปาเก้จึงเป็น พื้นที่อ่อนแอ กับอาการ น้ำท่วม อย่างยิ่ง เพราะทั้งไม้ ก็จะบวมขึ้นมา กาวก็จะหลุดล่อน ดังนั้นเมื่อ น้ำท่วมพื้นปาเก้ก็ต้องมีปัญหาแน่นอน อย่าไปโทษช่างทำปาเก้ หรือ อย่าไป คิดอะไรมาก

             หาก น้ำท่วมสัก 5-7 วัน นอกจากปาเก้จะหลุดล่อนลอยน้ำ ปูดโปนขึ้นมาแล้ว ยังจะมี อาการ "บูดเน่า" ให้เกิดกลิ่นเหม็น และอาจ เป็นอันตราย น้อย ๆ หากต้อง สูดดมอยู่ตลอด ทั้งวันทั้งคืน

             หาก ปาเก้เปียกน้ำสักเล็กน้อย ไม่ถึงกับหลุดล่อนปูดโปนไม่ต้องทำอะไรมาก เช็ดทำความสะอาด แล้วปล่อยทิ้งไว้ เปิดหน้าต่าง ประตู ให้อากาศถ่ายเท ความชื้นออกไป ไม่กี่วันปาเก้ก็อาจเข้ารูปเดิมปกติได้ แต่มีข้อที่น่าคิดก็คือ อย่าเอาน้ำมัน หรือแลคเกอร์ หรือแว็กซ์ ไปทาทับตอนที่ปาเก้ยังชื้นอยู่ เพราะ สารเหล่านั้น จะไปเคลือบ ผิวไม้ ทำให้ความชื้น ในเนื้อไม้ (และเนื้อพื้นคอนกรีต ใต้ปาเก้) ไม่ระเหยออกมา

             หาก ปาเก้มีอาการหนัก บิดงอ ปูดโปน เบี้ยวบูด ผุกร่อน เหม็นเน่า…กรุณาอย่าเสียดาย กรุณาเลาะออกมา หากเลาะออกมาแล้ว ยังอยู่ในสภาพดี ก็ผึ่งลมเอาไว้ให้แห้ง เผื่ออาจมีประโยชน์ในวันหลัง

             หาก เลาะพื้นปาเก้ออกมีข้อคิดว่า หากจะปูอะไรทับแทนก็ต้องระวังเรื่องน้ำหนักของวัสดุที่จะปูแทนนั้น ว่าหนักมากไหม หากหนักมาก ก็ต้องดูระบบโครงสร้างบ้านเราด้วยว่ามีความแข็งแรงไหม (ถามช่างผู้รู้ ให้ช่วย ดูก็ได้) เพราะปาเก้นั้น เป็นไม้ น้ำหนักเบา พื้นที่หนึ่งตารางเมตร อาจจะหนักเพียง 5 กิโลกรัม แต่พื้นหินอ่อน หรือแกรนิต น้ำหนักรวมปูนทราย ที่ใช้ปู หนึ่งตารางเมตรอาจหนักตั้ง 120 กิโลกรัม

             หาก จะปูปาเก้เช่นเดิม (เพราะชอบความเป็นไม้ที่ให้ความนุ่มนวล) หรือปูวัสดุอื่นที่ใช้ "กาว" เป็นตัว ประสาน กรุณาอย่า ปูทับลงทันที ต้องรอ ให้พื้นคอนกรีตแห้งก่อน (อาจใช้เวลาเป็นเดือน) แล้วจึงปูลงไปได้ ไม่เช่นนั้น รับรองว่าปูเท่าไรลงไป ก็ล่อนออกมาเท่านั้น



6. ปลั๊กไฟบ้านผม น้ำท่วมไม่เป็นไร น้ำลดจะเป็นไรไหม ?

             แม้คำถามของคุณออกจะกวนกวนอยู่บ้าง แต่เราก็พยายามเข้าใจและเห็นใจ ว่าในขณะที่ น้ำท่วม นั้นท่านปิดวงจรไฟฟ้าทั้งบ้าน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ปิดคัทเอ๊าท์) น้ำท่วมก็คงไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะไม่มีกระแส ไฟฟ้าเดิน แต่พอ น้ำลด อยากจะเปิดไฟใช้ คงหวั่นเกรงเหมือนกัน ว่าจะเป็นอย่างไร เอาละ ครับ ผมขอสรุป แนวทาง ดังนี้ดีกว่า

             ลอง เปิดคัทเอ๊าท์ให้มีกระแสไฟฟ้าเข้ามา (อย่าลืมต้องมีฟิวส์ที่คัทเอ๊าท์เสมอ) หากปลั๊กหรือจุดใดจุดหนึ่งยังชื้น หรือเปียกอยู่ คัทเอ๊าท์จะตัดไฟและฟิวส์จะขาด ลองเปลี่ยนฟิวส์แล้วทิ้งไว้สัก 1 วัน ให้ความชื้นระเหย ออกไปบ้าง แล้วดำเนินการใหม่ หากคัทเอ๊าท์ยังตัดไฟเหมือนเดิม กรุณาตาม ช่างไฟฟ้า ผู้รู้เรื่องมาแก้ไข (เสียเงินบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็น) ดีกว่าเอาชีวิตเสี่ยงต่อไป

             หาก ผ่านข้อที่ 1 ลองทดสอบเปิดไฟฟ้าทีละจุด และทดสอบกระแสไฟฟ้า ในปลั๊ก แต่ละอันว่ามี ไฟฟ้ามาปกติ หรือไม่ (อาจหาซื้อ อุปกรณ์ตรวจ กระแสไฟฟ้า ขนาดเล็ก จาก ห้างไฟฟ้าทั่วไป รูปร่างหน้าตาคล้ายไขควง มาเสียบทดสอบดูก็จะสะดวกดี) หาก ทุกจุดทำงาน ปกติก็ถือว่า สบายใจได้ไปอีกระดับหนึ่ง หากมีปัญหา บางจุด ก็อาจรอสักนิดให้ความชื้นระเหยออกเช่นข้อแรก (แต่หากพอมีเงิน กรุณาอย่าเสี่ยงเลยครับ)

             ดับ ไฟทุกจุดในบ้าน ปลดเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทั้งหมด แต่ยังคงเปิดคัทเอ๊าท์เอาไว้ แล้ววิ่งไปดู มิเตอร์ไฟฟ้าหน้าบ้านว่าเคลื่อนไหวหรือไม่ (อาจต้องรอสักพักโดยการจดตัวเลข หรือใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปไว้) หากไม่เคลื่อนไหวแสดงว่า ไฟฟ้าในบ้านเราไม่น่าจะรั่ว แต่หากมิเตอร์หมุนแสดงว่า ท่านยังปิดการใช้ไฟฟ้าในบ้านท่านไม่หมด หรือไฟฟ้า ตามสาย ตามท่อ ตามจุด บางจุดในบ้านท่าน อาจจะรั่วได้รีบตามช่างไฟมาดูแล

             เรื่อง ไฟฟ้านี้เป็น เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็กเป็นเรื่องของคนขี้ขลาด ไม่ใช่เรื่องของผู้กล้าหาญ ดังนั้นกรุณาอย่าประมาท น้ำท่วมก็เสียหายมากพอแล้ว อย่าต้องมาจัดงานอัปมงคลตามหลังกันอีกเลย …ซีเรียสนะครับ !



7. น้ำลดแล้ว ประสาทเสียมาก พอมีสตางค์ ทำยังไงกับระบบไฟฟ้าดี

              ถือว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังนับว่าโชคดีกว่าประชาชนอีกมาก ในประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา เพราะ ระบบไฟฟ้า เป็นสิ่งจำเป็นกับการดำรงชีพ แต่มีอันตรายสูง และเข้าใจยาก ตรวจสอบยาก เพราะเรา ไม่สามารถเห็น "ตัวกระแสไฟฟ้า" ได้เลย หากคุณพอจะมีงบประมาณ ในการปรับเปลี่ยน ระบบไฟฟ้า ในบ้านหลังน้ำท่วม เราขอแนะนำดังต่อไปนี้

             1. หากมีงบประมาณน้อย ตัดปลั๊กไฟที่อยู่ระดับต่ำ ๆ ในบ้านออกให้หมด (อาจจะตัดทิ้งเลย หรือจะเลื่อนตำแหน่งปลั๊ก นั้นขึ้นไปอยู่สูงกว่าพื้นห้องสักระดับ 1.10 เมตร ก็ได้)

             2. หากพอจะมีงบประมาณบ้าง ให้แยกวงจรไฟฟ้าออกเป็น 2 วงจร คือวงจรที่อยู่ด้านล่าง (ที่ซึ่งน้ำ อาจจะ ท่วมได้) และวงจรที่อยู่สูง ๆ (ที่น้ำไม่อาจท่วมถึง)

             3. หากมีงบประมาณหนักขึ้นไปอีก แยกวงจรไฟฟ้าออกเป็น 4 วงจร วงจรแรกสำหรับปลั๊กด้านล่าง (ยามน้ำท่วม) วงจรที่สอง เป็นวงจรสำหรับจุดที่ใช้ไฟฟ้าทั่ว ๆ ไป (ที่น้ำไม่ท่วม) จุดที่สาม สำหรับเครื่อง ปรับอากาศ (หากมี) เพื่อกันอาการไฟกระตุกเมื่อเครื่องปรับอากาศทำงาน จุดสุดท้ายเอาไว้ในครัว เพื่อยามออกจากบ้านนานนาน อยากปิดคัทเอ๊าท์ จะได้ไม่ต้องปิดหมด เพราะปิดหมดเจ้าตู้เย็นในครัว ก็จะหยุดทำงาน อาหารในครัวก็เน่าเสียหมด หรือยามเราไม่อยู่บ้าน อาจปล่อยทั้งกิจกรรม การใช้ไฟฟ้า ไว้เพียงในครัวเท่านั้น

             4. หากมีงบประมาณมากขึ้นไปอีก แยกวงจรให้มากเข้าไปอีกก็ได้ อาจแยกเป็นวงจรชั้นบน วงจรชั้นล่าง วงจรนอกบ้าน ฯลฯ (โดยยังยึดถือ วงจรตามข้อ 3 อยู่) แต่หากจะแยกวงจรมาก ๆ ดังนี้ และมีงบประมาณมาก ตามที่บอก น่าจะว่าจ้างวิศวกรไฟฟ้าเข้ามาคำนวณ จะประหยัด และปลอดภัยกว่า

             ปล. ขอแถมนอกเรื่องน้ำท่วมนิดเดียวครับว่า อย่าเดินสายไฟกับสายสัญญาณต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์ ทีวี ฯลฯ รวมไว้ด้วยกัน เพระสายไฟจะมีคลื่นแม่เหล็กไปรบกวนสัญญาณ ทำให้การรับสัญญาณไม่ชัดเจน



8.  งูเงี้ยวเขี้ยวขอตะกวดแย้มังกรกิ้งกือ หนีน้ำมาอยู่เต็มบ้านเลย

             กรณีมีสัตว์ที่เราไม่พึงประสงค์เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา คงจะต้องค่อย ๆ แยกประเภทสัตว์ต่างๆออกเป็นประเภทเสียก่อน เพราะสัตว์เหล่านั้นไม่มีสูตรสำเร็จที่จะจัดการให้หมดไปได้ด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งอาจจะแยกเป็นประเภทและการดำเนินการได้ดังนี้

             สัตว์ เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่พอควร ทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษ  เช่น งู ตะกวด จระเข้ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ อย่าพยายามไปจับหรือจัดการเอง ทำการป้องกันบ้านและป้องกันตัวไม่ให้พวกเขามาทำอันตรายเรา (เราในที่นี้หมายถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราด้วยนะครับ) ให้ติดต่อหน่วยราชการอาสา มาจัดการสัตว์ร้ายเหล่านี้

             สัตว์ เลื้อยคลานขนาดเล็ก ที่ไม่มีพิษ เช่น กิ้งกือ ไส้เดือน กิ้งก่า จิ้งเหลน ฯลฯ ก็ปล่อยเขาไว้ได้ บางท่านอาจจะรังเกียจ แต่ก็ทนนิดๆไว้ก่อน เอาเขาไปปล่อยในที่ที่สมควรปล่อย (ไม่รบกวนใคร)ก็ได้  หรืออาจจะปล่อยเขาเอาไว้เฉยๆก็ได้ ไม่นานเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็จะหายไปเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเขาเข้ามาในตัวบ้านเราโดยผ่านทาง "รู” ต่างๆในบ้านเรา ก็ต้องจัดการเอาเขาออกไปนะครับ

             แมลง ต่าง ๆ ตั้งแต่ยุง แมงมุม ฯลฯ หรือแม้แต่มด ต้องไม่ให้เข้ามาในบ้านเรา ต้องพยายามปิดประตูหน้าต่าง ปิดรู ให้ดีเท่าที่จะทำได้ และคงต้องจัดการให้หมดไปตามปกติธุระ

             แมลงพิเศษ "ปลวก" ตอนนี้เขาคงยังไม่มา แต่อาจจะมาในอนาคตได้ ตอนนี้ยังไม่ต้องจัดการอะไร แต่พึงระวังไว้ว่า เมื่อน้ำลดไปไม่นาน จะต้องมีการป้องกันปลวกให้ดี เพราะโอกาสที่เขาจะมามีมากพอควรเลยครับ)

             สัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ที่ไม่เป็นอันตรายที่หลงทางมา เช่น สุนัข แมว หรือแม้กระทั่ง ม้า ก็น่าจะดูแลเขาในระยะแรกก่อน เพราะชีวิตเขาก็คงลำบากอยู่เหมือนกันในขณะน้ำท่วม แล้วหลังจากนั้นค่อยพิจารณาว่าเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป (เช่นหาเจ้าของเดิม หาเจ้าของใหม่ ฯลฯ) อย่าเพิ่งไล่เขาออกไปไหนเลย ถือว่าทำบุญสร้างบุญกันครับ



9. ส้วมเหม็น ส้วมเต็ม ส้วมราดไม่ลง ส้วม ส้วม ส้วม ส้วม

              หลังน้ำท่วม นอกจากปัญหาใกล้ตัวเรื่องระบบไฟฟ้า และวัสดุปูพื้นที่ถูกน้ำท่วมจะเป็นปัญหาที่พบเห็นเสมอ แล้ว เรื่องส้วม ๆ ดูจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าและหนักหนากว่ามาก เพราะเราไม่มีที่ จะถ่ายทุกข์ ทุกข์เลยบรรจุ อยู่เต็มตัวเรา พอเราถ่ายทุกข์ออกมาหน่อยทุกข์นั้นดันไม่ย่อยสลาย บ้านเรา ก็เลยมีทุกข์ ลอยตุ๊บป่องตุ๊บป่อง เต็มไปหมด

             เมื่อน้ำลดแล้ว ส้วมของบางท่านอาจจะยังคงมีปัญหาอยู่ บ้างอาจจะเป็นปัญหาดั้งเดิม บ้างก็เป็นปัญหา เกิดใหม่ บ้างก็จะ สอดประสานกลมเกลียวกัน ทั้งปัญหาเก่าและปัญหาใหม่ ผมใคร่ ขอสรุปรวมความ ปัญหาแห่งส้วม ออกเป็นข้อย่อย ๆ ได้ 8 ประการ (ทั้งปัญหาเก่าและปัญหาใหม่) ดังต่อไปนี้

             1. หากส้วมของท่านเป็นระบบบ่อเกรอะ-บ่อซึม (หมายถึงเมื่อของเสียย่อยสลายแล้ว จะซึมผ่านสู่พื้นดิน ระบบนี้เป็นระบบ ที่นิยมกันทั่วประเทศ เป็นเวลานาน) แล้ว บ่อซึม ของท่าน วางอยู่ ใน บริเวณที่พื้นดินชุ่มฉ่ำ (อาจจะเพราะน้ำท่วมก็ได้) สิ่งที่เกิด ก็คือบ่อซึม ไม่ยอมซึมน้ำออก (แถมยามน้ำท่วม นอกจากน้ำ จะไม่ไหลออก จากบ่อซึม น้ำที่ท่วม จะไหลย้อนเข้ามาในบ่อ และระบบย่อยสลายอีกด้วย) ปัญหาที่ตามมา ก็คืออาการ "ตุ๊บป่อง" ราดส้วมไม่ลง ใช้ส้วมไม่ได้ ส้วมจะเต็มบ่อยนั่นเอง แก้ไขได้ 2 ประการคือ หากพื้นดินชุ่มฉ่ำ เพราะน้ำท่วม ก็ขอให้รอสักนิด ให้พื้นดินแห้งสักหน่อย แต่หากพื้นดินชุ่มฉ่ำชื้น ตามธรรมชาติของพื้นที่ ก็กรุณาเปลี่ยนระบบ มาใช้เป็นระบบเครื่องกล สำหรับ ย่อยสลาย (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ถังส้วมสำเร็จ) ซึ่งจะทำหน้าที่ ย่อยสลายปฏิกูล ต่าง ๆ จนเป็น น้ำสะอาด แล้วก็ปล่อยลง ท่อระบายน้ำสาธารณะ ได้โดย ไม่ผิด กฎหมาย

             2. หากโถส้วมอยู่ระดับต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับระดับบ่อเกรอะ หรือถังส้วมสำเร็จรูป ทำให้ระนาบ ของท่อส้วม ไหลไม่สะดวก หรือบางครั้ง อาจจะมีอาการ ไหลย้อนกลับ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามน้ำท่วม ทำให้ระดับน้ำ ณ ถังส้วม อาจสูงกว่า ระดับโถส้วม) ทำให้เกิดอาการ ราดไม่ลง หรือตอนกดน้ำ ราดน้ำที่โถส้วม ทำให้ในโถส้วม มีแรงดัน สูงมากขึ้น หากน้ำไม่สามารถ ไหลลงไปได้ ก็จะเกิดอาการ แรงดันย้อนกลับ ทุกข์ทั้งหลายของเราจ ะกระฉอกขึ้นเปรอะเปื้อนได้

             3. อาจเกิดเพราะท่อส้วมแตกและอาจไปฝัง (หรือเกือบจะฝังในพื้นดิน) ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และราดส้วมไม่ลง หรือบางครั้ง เกิดอาการ ที่ตัดสินใจยาก เพราะบางครั้งราดลง บางครั้งราดไม่ลง เพราะไปเกี่ยวข้อง กับสภาพแวดล้อม อย่างมาก หากกรณีนี้เกิดขึ้นในขณะน้ำท่วม ยิ่งตัดสินใจยาก เพราะวันไหน ทุกข์ของเรา มีน้ำหนักมาก วันนั้นก็อาจจะราดไล่ลงไปได้ วันไหนทุกข์ของเรา มีมวลน้อย มีน้ำหนักน้อย ทั้งเสือกไสไล่ ราดเท่าไรก็ดื้อ ไม่ยอมลงสักที

             4. บางท่านอาจจะลืมใส่ท่ออากาศให้ส้วมหายใจ เวลาราดน้ำจะราดไม่ลง (เหมือนกับพยายาม กรอกน้ำใส่ขวด โดยไม่มีช่องอากาศ เหลือเลยที่ปากขวด จะกรอกน้ำไม่ลง) บางบ้าน อาจจะมีท่ออากาศ แต่ท่ออากาศอาจอุดตันได้ ไม่ว่าจะเกิดจากความสกปรก หรือเกิดจาก เศษผง เล็กลอยมาอุด ตอนที่น้ำท่วมก็ได้

             5.ขนาด ของบ่อเกรอะบ่อซึม หรือถังบำบัดสำเร็จขนาดเล็กเกินไป หลายครั้งพบปัญหา เพราะใช้อาคาร ผิดประเภท เช่นออกแบบไว้ ให้มีคนในบ้าน 5 คน แต่พอใช้จริง ใช้เข้าไปตั้ง 8-9 คน ปริมาณทุกข์ต่าง ๆ จึงมากกว่า ที่เคยคำนวณเอาไว้แต่แรก ถังส้วมจะเต็มบ่อยเต็มเร็ว เพราะมีช่องว่างน้อย ถ้าเป็นระบบบ่อซึม ก็มีพื้นผิวการซึมน้ำออกน้อย น้ำจึงซึมออกไม่ทัน

             6.ท่าน อาจใส่สิ่งของที่ไม่น่าจะใส่ลงในโถส้วม หรือสิ่งของบางอย่างอาจจะลอยมากับน้ำท่วม เช่นแผ่นผ้าอนามัย ถุงยางอนามัย ถุงมืออนามัย หรือ แปรงขัดส้วมอนามัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ จะไม่ย่อยสลาย และเป็นสาเหตุ แห่งการอุดตัน

             7.ถัง บำบัดสำเร็จบางรุ่นบางยี่ห้อ ต้องใช้เครื่องมือกลเข้าปั่นอากาศเข้าไปช่วยการย่อยสลาย ซึ่ง อุปกรณ์เหล่านี้ ต้องใช้กระแสไฟฟ้า เป็นตัวหนุนมอเตอร์ ในขณะที่น้ำท่วม ท่านอาจจะปิดไฟฟ้าไว้ ดังนั้น หากจะถ่ายทุกข์ อย่างมีความสุข อย่าลืมเสียบปลั๊กไฟฟ้ากลับเข้าที่เดิมนะขอรับ (เขาเรียกว่าเส้นผมบังส้วม)

             8. ถังบำบัดสำเร็จทุกยี่ห้อ จะต้องมีท่อให้น้ำไหล ออกจากถังบำบัดสู่ท่อระบายน้ำในบ้านเรา หรือสู่ท่อสาธารณะ จะต้องตรวจเช็คว่า ระดับของท่อที่ออกจากถังบำบัด ว่าต้องสูงกว่าระดับท่อระบายน้ำเสมอ มิเช่นนั้น จะเกิดอาการ ไหลย้อนกลับอีกแล้ว



10.  ผมต้องตรวจสอบอะไรเกี่ยวกับระบบประปาบ้าง

             ระบบประปาเป็นระบบที่เหมือนกับไม่มีปัญหา เพราะเหตุเกิดจากน้ำท่วม แต่หากมองข้ามไป อาจทำให้คุณ สูญเสีย ชีวิต อันเป็นที่รักยิ่งไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่มีระบบประปา ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ขอแนะนำ การตรวจสอบดังต่อไปนี้

             1. คุณมีบ่อน้ำใต้ดิน หรือถังเก็บพักน้ำที่อยู่ในระดับที่น้ำท่วมถึงหรือไม่ หากคุณมี ก็ขอให้นึกเสมอว่า น้ำที่ท่วมถึงนั้น มิได้สะอาด เหมือนน้ำประปา (กรุณาอย่าฉุนเฉียว กลับว่าน้ำประปาบ้านเรานั้น แสนจะ ไม่สะอาด) ขอให้ทำการล้างถังน้ำ ที่น้ำท่วมถึง ให้สะอาดทั้งภายนอกภายใน (หากเป็นบ่อใต้ดิน ล้างเฉพาะ ภายในถัง ภายนอกคงไม่ต้องล้างกระมังครับ) อย่าเสียดายแรงงาน หรือเสียดายน้ำเลยนะครับ

             2. บ้านที่มีระบบปั๊มน้ำ กรุณาตรวจสอบอุปกรณ์ปั๊ม รวมถึงถังอัดลมว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี การตรวจสอบ ขั้นต้น อาจจะตรวจสอบ จากเสียงเครื่องจักรทำงาน ว่าผิดปกติหรือไม่ ตรวจสอบแรงดันน้ำ ว่าเหมือนกับสมัยที่ น้ำไม่ท่วมหรือไม่ ตรวจสอบ ถังลมว่า สามารถเก็บแรงอัดได้ดี และยาวนาน ตามที่น่าจะเป็นหรือไม่ … หากมีสิ่งผิดปกติ อาจจะต้องปรับ - ถ่ายระดับน้ำ ระดับแรงดัน ในหม้อลม อีกทั้ง น่าจะตรวจสอบดูว่า มีเศษผง ที่ลอยมากับน้ำท่วม ติดอยู่หรือเปล่า

             3. หากกรณีที่ปั๊มน้ำถูกน้ำท่วม ไม่น่าจะใช้การต่อไปโดยทันที เพราะจะมีอันตรายจากความชื้น ในตัวมอเตอร์ที่อาจยัง สะสมอยู่ น่าจะไปหา ช่างมาตรวจสอบ ทำให้แห้งเสียก่อน ถ้าช่างยังไม่ยอมมา และคุณพอรู้เรื่อง เครื่องจักรกล บ้าง ก็ถอดเอาไปให้เขา ตรวจเช็ค (กรุณาอย่าเอาไปตากแดด แล้วคิดไปเองว่า ความชื้นหมดแล้ว เป็นอะไร ขึ้นมา ยามร้ายเมื่อหนีน้ำท่วมทัน แต่ไฟ กลับไหม้บ้านหมดครับ)



11. ผนังบ้านแช่น้ำนาน ๆ เป็นอะไรไหม จะแก้ไขดูแลอย่างไร

              วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเกือบทุกอย่าง หากแม้โดนแช่น้ำไว้นาน ๆ ย่อมต้องมีอาการเสื่อมสภาพไป มากบ้าง น้อยบ้าง ตอบคำถามที่ว่า ผนังและสีทาบ้านที่ถูกน้ำท่วมแล้วเป็นอะไรหรือไม่ คงตอบว่า "เป็นอะไรแน่นอน" ขอให้คำปรึกษา ในการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

             1. หากผนังทำด้วยไม้ ไม่ต้องทำอะไรมากปล่อยให้แห้งก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นแต่ส่วนที่อยู่ ในระยะระดับที่ น้ำขึ้นลง อาจจะผุไปบ้าง (ธรรมชาติของไม้ หากอยู่แห้ง ๆ ก็ไม่เป็นไร หากอยู่ใต้น้ำเลย ก็ไม่ค่อยเป็นไร แต่หากอยู่บริเวณระดับที่เดี๋ยวน้ำขึ้น เดี๋ยวน้ำลง จะมีปัญหาเรื่องการผุกร่อนได้ง่าย ดูได้ตามเสาโป๊ะ หรือเสา ที่ปักไว้ในน้ำ จะเห็นได้ว่า ส่วนที่จะผุกร่อนก่อนที่สุด คือ บริเวณระดับผิวน้ำที่เดี๋ยวแห้ง เดี๋ยวเปียก)

            เมื่อน้ำในบ้านลดลง เอาผ้าเช็ดทำความสะอาด ขจัดคราบความสกปรกออก เพื่อสุขภาพของคนในบ้าน และเพื่อให้ผิว ที่ทำความสะอาดแล้ว สามารถระเหย ความชื้นออกมาได้ง่าย ทิ้งไว้จนแน่ใจว่า ผนังของเรา แห้งดี จึงใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้ ชโลมลงที่ผิว (อย่าทาแลคเกอร์ หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ หรือสีทาผนัง ก่อนที่จะ ให้ตัวผนังแห้ง เพราะจะทำใ ห้น้ำและความชื้น ระเหยไม่ออก จะเกิดอาการ "ชื้นและผุฝังใน")

            การทาสี หรือทายารักษาเนื้อไม้ อาจจะทาเฉพาะ ด้านในตัวบ้านก่อนก็ได้ แล้วทิ้งไว้สัก หลายเดือน จึงค่อยทาสีภายนอก ตัวอาคาร เพื่อให้มั่นใจจริง ๆ ว่า ผนังของเรา แห้งสนิทแล้ว

            (อย่าอายใคร หากบ้านเรา จะไม่สวยสัก 5-6 เดือน เพราะเรื่องน้ำท่วมนี้ ไม่ใช่ความผิดของเรา… เราเป็นเพียง ผู้รับกรรมเท่านั้น)

             2.  หากผนังของท่านเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูน ก็ดำเนินการในระบบที่คล้ายกับผนังไม้ ตามที่กล่าวแต่แรก แต่อาจจะต้อง ทิ้งเวลานานหน่อย เพราะการระบายความชื้น ของผนังก่ออิฐนั้น ยากกว่าผนังไม้

            มีสิ่งหนึ่งที่ ผนังไม้อาจแตกต่าง กับผนังก่ออิฐก็คือ "สิ่งที่อยู่ภายในผนัง" ไม่ว่าจะเป็นสายไฟฟ้า ท่อไฟฟ้า ท่อน้ำ ฯลฯ เราต้องตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้ด้วยว่า อยู่ในสภาพเหมือนเดิม (รายละเอียด การดูแลตรวจสอบ กรุณาอ่านในข้อ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และระบบสุขาภิบาล) การให้ความชื้นระเหยออกง่าย ต้องพยายามไม่เอาสิ่งของ หรือตู้ โต๊ะ ตั้งติดไว้ที่ผนัง (ขอให้ทนความไม่สะดวกสบายสักพักเถอะครับ)

            แต่ก็กรุณา อย่าถึงกับเอา ไฟฟู่ มาเผาให้ผนังแห้งเร็ว เดี๋ยวกลายเป็น หนีน้ำท่วม ไปปะไฟไหม้ จะไม่คุ้มกัน บางคนอาจจะเอา ไฟ สปอตไลท์ มาส่อง ให้ความร้อน ผนังจะได้ระเหย เอาความชื้น ออกมาเร็ว ๆ ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไร เพราะจะเสียค่า กระแส ไฟฟ้าจำนวนไม่น้อย (เก็บเงินค่าไฟฟ้าส่วนนี้ ไปใช้ในการซ่อมแซมบ้าน หลังน้ำท่วม ส่วนอื่น จะดีกว่า กระมังครับ)

             3. หากผนังของท่านทำด้วยยิบซั่มบอร์ด จะต้องเข้าใจในพื้นฐานและธรรมชาติของแผ่นยิบซั่มบอร์ด เสียก่อน ว่า เจ้าแผ่นนี้ เป็นเพียง ผงปูนยิบซั่ม ที่หุ้มด้วยกระดาษอย่างดี แต่ไม่ว่ากระดาษจะดีเพียงไร หากถูกน้ำท่วม สักพักเดียว รับรองว่า แอ่นยุ่ยกันเป็นแถว

            วิธีที่ดีที่สุด ก็คือเลาะเอาแผ่นยิบซั่มนี้ ออกจากตัวโครงเคร่าผนัง หากเป็นโครงเคร่าที่ทำด้วยโลหะ ก็สามารถติดแผ่นใหม่เข้าแทนที่ได้เลย แต่หากโครงเคร่าเป็นไม้ คงต้องทิ้งไว้สักหลายวัน ให้ความชื้น ในโครงไม้นั้น ระเหยออกเสียก่อน จึงค่อยบุแผ่นใหม่ เข้าแทนที่

             4. ผนังที่ทำด้วยโลหะ หรือผนังที่ทำด้วยกระจก ยามน้ำท่วมคงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อน้ำลดแล้ว น่าจะ ต้อง ตรวจสอบ ตามซอก ตามรอยต่อ ว่ายังมีน้ำ หรือเศษขี้ผง ฝังในอยู่หรือไม่ หากมี ก็ทำความสะอาดเสีย (สิ่งที่น่าจับตามอง สำหรับผนัง หรือโครงอลูมิเนียมก็คือ น้ำอาจขังในท่อ ของอลูมิเนียมครับ)

             5. ผนังชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นผนังกระดาษอัด ผนังสังกะสี ผนังไม้อัด ฯลฯ จะมีธรรมชาติ คล้ายกับผนังทั้งสี่ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ลองเปรียบเทียบดู แล้วแก้ไข ตามแนวทางนั้นๆ ขอให้โชคดีขอรับ


  
12. สีทาบ้าน ทั้งสีน้ำ สีพลาสติก สีน้ำมัน ฯลฯ ต้องทำอะไรบ้าง

             เรื่องขอการแก้ไขเกี่ยวกับสีทาบ้าน ขอให้เป็นสิ่งสุดท้ายหรือเกือบสุดท้ายที่เราจะซ่อมแซมบ้าน กรุณา อย่าอายใคร ที่เขาจะมาหาว่า บ้านเราสีกระดำกระด่าง หรือสีลอกเป็นขี้กลาก ปล่อยคนที่เขาดูถูกเราไปเถอะ เพราะเรื่องน้ำท่วม มิใช่กรรมของเรา ที่ก่อขึ้นมา (อย่างน้อย ก็ไม่ใช่ทางตรง) เขาจะว่าอะไร จะดูถูกอย่างไร ก็ปล่อยเขาไป (แล้วทำบุญกรวดน้ำ ให้เขา ลดอวิชชา ที่ครอบงำจิตใจเขาด้วย)

             สี ทุกชนิดที่เราใช้ทาบ้าน (ไม่รวมสีทาเรือ สีทาเครื่องบิน สีทาภายในถังน้ำ) เมื่อถูกความชื้นหนัก ๆ อย่างน้ำท่วมคราวนี้ จะต้อง มีอันเป็นไป เกือบทุกที่ ….

             ข้อ คิดสำคัญ ในเรื่องของสีทาบ้าน ก็คือ ปัญหาของสีลอกสีล่อน หลัก ๆ ไม่เกิดเพราะ คุณภาพของสี แต่เกิดจาก ความไม่พร้อม ของพื้นผิวที่ทาสี หากพื้นผิว ที่จะทาสี เกิดความชื้น หรือมีสิ่งสกปรก ติดอยู่ ทาสีทับลงไปอย่างไร ก็ลอก ก็ล่อนออกหมด

            ดังนั้นขอให้ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งทาสี ทำความสะอาดหรือลอกสีเดิมออก ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ (ลอกเฉพาะ ตรงที่มีปัญหา ไม่ใช่ลอกหมดทั้งบ้าน) ทิ้งไว้นาน ๆ (อาจจะหลายเดือน จนถึงหน้าแล้ง ฤดูร้อนก็นับว่าไม่สายเกินไป)



13.  เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า จมน้ำหมดเลย ทำไงดี

            ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า มอเตอร์ หรือเครื่องกลต่าง ๆ (อาจจะรวมได้ ไปจนถึง รถยนต์ด้วยก็ได้) ล้วนแต่เป็น เครื่องจักรกล ที่อย่างเราอย่างท่าน ไม่น่าประมาท หรือรู้มาก เข้าไปแก้ไข ซ่อมแซมเอง ขอความกรุณาอย่าเพิ่งใช้ ความสามารถส่วนบุคคล (หากไม่จำเป็นจริง ๆๆๆๆ)

             หาก โดนน้ำท่วมแล้ว น้ำเจ้ากรรม ไหลเข้าไป ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว (แถมยังแช่ไว้ด้วย) ถอดออกไปให้ช่างผู้รู้ เขาตรวจสอบดูก่อน ดีกว่า กรุณาอย่าประมาท เอาไปตากแดด แล้วคิดว่าแห้งแล้ว เลยนำไปใช้ต่อ เพราะความชื้นบางส่วน อาจจะฝังอยู่ข้างใน พอเครื่องกลนั้น ทำงาน โดยใช้กระแสไฟฟ้า อาจทำให้เกิดปัญหา กับตัวบ้าน หรือเป็นอันตราย ถึงชีวิตได้

             นอก จากความชื้นที่ฝังอยู่ในตัวเครื่องแล้ว บรรดาฝุ่นผง เศษขยะ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตบางประเภท ก็อาจจะฝังตัวหรือแอบซ่อนตัว (หรือเสียชีวิต) ค้างอยู่ภายในเครื่องด้วย หากเดินเครื่องจักรกลหมุน อาจจะเกิดการติดขัดและมีการฝืนกำลังกัน เครื่องอาจจะเสียหรือไฟไหม้ได้ (อาจจะไม่ได้เกิดโดยทันที แต่จะเกิดขึ้นภายหลังได้)

            หากแม้นจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องใช้เครื่องจักรกลนั้น(ซึ่งผมหวังว่าคงจะไม่มี) ยามจะใช้เครื่องกลเหล่านั้นน่ามีข้อคิด 3 ประการคือ

             1. ตลอดเวลาที่ใช้ต้องมีผู้ใหญ่ที่พอรู้เรื่องไฟฟ้าและเครื่องจักกลพื้นฐานอยู่ ใกล้ๆเสมอ และอย่างน้อยน่าจะมี ๒ คนครับ เมื่อเกิดอะไรผิดปกติขึ้นมาต้องดับเครื่องปิดเครื่องโดยทันที

             2. ที่คัทเอ๊าท์ไฟฟ้าของตัวเครื่อง และคัทเอ๊าท์หลักของตัวบ้าน จะต้องมีฟิวส์ตัดไฟที่มีคุณภาพ ติดตั้งอยู่เสมอ เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ต้องแน่ใจว่าวงจรไฟฟ้าจะถูกตัดออก

             3.  เมื่อไรไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว ให้หยุดใช้เครื่องกลตัวนั้นทันที พอมีเวลาบ้าง และพอมีงบประมาณ กรุณานำไปให้ช่างผู้รู้ตรวจสอบ



14.  ประตูบ้านถูกน้ำท่วมบวมอลึ่งฉึ่ง ประตูเหล็กขึ้นสนิมหมดแล้ว

            ขอให้คิดว่าประตูหน้าต่างเวลาถูกน้ำท่วม จะเหมือนกับผนังที่ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน การที่ประตูไม้บวมเป่งขึ้นมา ก็เหมือนกับ ผนังไม้ หรือผนังยิปซั่ม ที่ปูดโปนขึ้น ส่วนประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมนั้น ก็เป็นเรื่องของโลหะที่แช่น้ำ เมื่อแห้งแล้วก็ต้องเป็นสนิมไปเป็นปกติธรรมดา แนวทางแก้ไขมีดังต่อไปนี้

             1. ประตูไม้ หรือวัสดุที่เหมือนกับไม้ที่บวมขึ้นมาหรือผุพัง ก็เหมือนกับประตูห้องน้ำเรา ที่หลายๆบ้านเป็น อันเกิดจากความชื้นในห้องน้ำ แก้ไขโดยการทิ้งไว้ให้แห้ง ซ่อมแซมพื้นผิว เท่าที่ตนเองจะทำได้ หรือหากหมดสภาพจริง ๆ และพอมีงบประมาณบ้าง ก็ซื้อใหม่ เปลี่ยนแปลงเสียเลย ก็ยังพอไหว

             2. ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม อาจจะไม่ถึงผุพัง (ยกเว้นแต่ผุมาก่อน) ก็จัดการ ขัดสนิมออก เช็ดให้ สะอาด แห้ง แล้วทาสีใหม่ทับลงไป ก็ถือได้ว่าเป็นอันเสร็จพิธี แต่ความน่าสนใจ ก็คือ ขอให้มั่นใจว่าน้ำหรือความชื้น ได้ออกไปหมดแล้ว ทั้งในท่อโครงเหล็กหรือบริเวณรอยต่อต่างๆ

             3. ประตูพลาสติกหรือวัสดุสังเคราะห์  ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะวัสดุเหล่านั้นทนน้ำได้ แต่ที่ต้องตรวจสอบก็คือ อาจจะมีน้ำขังอยู่ภายในบานประตู(หรือหน้าต่าง) ระหว่างแผ่นสังเคราะห์ที่ประกบกันเป็นตัวบาน ต้องพยายามเอาน้ำออกให้หมด อาจจะต้องมีการเจาะรูเล็กๆสัก ๑-๒ รู เพื่อให้น้ำระบายออกได้

             4. หากประตูเกิดเอียงหรืออาการที่ภาษาช่างเรียกว่า "ประตูตก" อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อประตูหน้าต่าง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ทำ ด้วยไม้ หรือวัสดุที่อมน้ำ) แช่น้ำนาน ๆ ประตูจะอมน้ำ จึงทำให้ตัวบานนั้น น้ำหนักมากขึ้น บานพับรับน้ำหนักไม่ไหว ประกอบกับตัววงกบ (โครงกรอบช่วงเปิด) เปื่อยยุ่ย เนื่องจาก การแช่น้ำ น๊อต หรือตะปูยึดเกาะได้ไม่เต็มที่ บานเลยเกิดอาการ เอียงลง…

            แก้ไขโดยพยายาม ใช้ค้ำยัน หรือลิ่มเล็ก ๆ สอดช่วยรับแรง ถ่ายน้ำหนัก ของ บาน เอาไว้ก่อน ค่อย ๆ รอจนความชื้นระเหยออก น๊อตตะปูก็จะยึดติดดีขึ้น น้ำหนักบานก็จะน้อยลง อาการก็จะกลับมาเหมือน เกือบปกติ (อาจจะไม่ปกตินัก แต่ก็นับว่า ไม่เป็นไร)



15. บานพับ ลูกบิด รูกุญแจ เหล็กดัด หลังน้ำท่วมต้องทำอะไรบ้างดี

            เป็นคำถามที่ต่อเนื่องจากปัญหาที่แล้ว ซึ่งว่าด้วยเรื่องประตูหน้าต่างที่เกิดปัญหาขึ้นหลังน้ำท่วม บานพับ ลูกบิด กุญแจ เหล็กดัด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำด้วยโลหะก็เกิดปัญหาตามมา ขอตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

             เช็ดน้ำและพยายามให้ความชื้นระเหยออกให้หมด หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

             หาก เกิดสนิมตรงที่ใด ก็ขัดเอาสนิมเหล่านั้นออกเสียโดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ แต่ก็อย่าขัดแรงด้วยเครื่องมือขัดที่คมแข็งเกินไป เพราะอาจทำให้อุปกรณ์ประตูหน้าต่างที่ค่อนข้างบอบบางนั้นเสียหายได้ครับ

             ใช้ น้ำยาหล่อลื่นสารพัดประโยชน์หยอดชโลม (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "โซเล็กซ์")  ตามจุดต่อ ตามข้อต่อ ตามเฟือง และตามรูต่าง ๆ ให้ทั่ว (คงไม่ถึงขนาด เป็นมันเยิ้ม ๆ จะทำให้สิ่งของรอบข้างเลอะเทอะ และเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์)

             อย่า เพิ่งใช้จารบี หรือสารจำพวกขี้ผึ้งอุดหรือทา เพราะความชื้นทั้งหลายอาจจะยังระเหยออกไม่หมด จะทำให้ระเหยออก ได้ยากขึ้น ความชื้นเลยเกิดอาการ "ฝังใน" จะมีปัญหาภายหลัง

             หากยังเกิดปัญหาอีก กรุณาเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ข้อแรกจนถึงข้อนี้ รับรองว่ากว่า 90 % ปัญหาจะไม่หนี ไปนอกรอบ ที่กล่าวไว้     



16. น้ำท่วมฝ้าเพดาน แก้ไขอย่างไรได้บ้าง

             ผมเชื่อว่าซีเรียสและเป็นเรื่องจริงครับ แต่ขอภาวนาให้เป็นการท่วมฝ้าเพดานของห้องใต้ดิน ไม่ใช่ฝ้าเพดาน ของบ้านชั้นที่สองนะครับ น้ำท่วมฝ้าเพดานนี้ คงจะต้องใช้แนวทางแก้ไขคล้ายกับน้ำท่วมพื้นและท่วมผนังปนกัน สรุปความอีกครั้ง ได้ว่า

             1. ตรวจสอบถึงวัสดุฝ้าเพดานว่าทำด้วยอะไร หากเป็นวัสดุที่เปื่อยยุ่ยจากการถูกน้ำท่วมได้ เช่นฝ้ายิปซั่มบอร์ด หรือฝ้า กระดาษอัด คงจะต้อง เลาะออกแล้วเปลี่ยนใหม่ (หรือหากไม่มีงบประมาณ ก็ทิ้งเอาไว้โล่ง ๆ อย่างนั้นก่อน ไม่ต้องอายใคร ย้ำ ไม่ต้องอายใคร) หากเป็นฝ้า ประเภทที่ไม่เปื่อยยุ่ย และอมน้ำ อมความชื้นมาก ก็พยายามผึ่งให้แห้ง อย่าทาสี หรือน้ำยากันความชื้น ระเหยออก หากเป็นฝ้าโลหะ ให้ตรวจสอบสนิมจัดการขัดหรือเช็ดออกให้หมด

             2. สำรวจฝ้าเพดานทั้งผืนทุกห้องทุกที่ว่ามีน้ำขังอยู่หรือไม่ (เจาะหรือเปิดฝ้าเพดานแล้วโผล่ศีรษะ พร้อมส่อง ไฟฉาย ตรวจดู) หากพบ ต้องระบายน้ำออก ให้หมด โดยทันทีทันใด (เจาะรูตรงที่น้ำเป็นแอ่งขัง ณ จุดนั้นนั้น) อย่าขี้เกียจ ตรวจเช็คเป็นอันขาด

             3. ฝ้าเพดานส่วนใหญ่จะมีสายไฟ ดวงโคมติดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบเดินสายไฟฝังหรือสายไฟลอย ต้องตรวจสอบสภาพว่าดีสมบูรณ์ตามรายการ ที่เคยกล่าวไว้เรื่องของการตรวจสำรวจระบบไฟฟ้าหลังน้ำท่วม

             4. มดและแมลงตลอดจนหนูหรือสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ อาจหลบเข้าไปในฝ้าเพดาน (แล้วหาทางออกไม่ได้) ต้องทำการไล่ออกให้หมด จึงจะปิดฝ้าเพดาน ไม่เช่นนั้นอาจจะรบกวนและเป็นอันตรายภายหลังได้


 

17. มีน้ำผุดขึ้นกลางบ้าน แปลว่าอะไร ไม่เห็นสนุกเลย

            หากเป็นผมก็คงจะไม่สนุกเหมือนกันละครับ เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีน้ำผุดขึ้นมากลางบ้าน ปัญหาที่คาดการณ์ (เพราะไม่ได้เห็น สถานที่จริง) น่าจะเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

             1. ระบบโครงสร้างเกิดอาการแตกร้าว ซึ่งอาจจะแตกร้าวอยู่เดิมแล้ว หรืออาจจะเกิดการแตกร้าวจากแรงดันน้ำ อันเนื่องมาจาก น้ำท่วม การแก้ไขก็คือพยายามหาแนวที่แตกร้าวนั้นให้พบ (ส่วนใหญ่ จะเป็นรอยแตก ที่พื้น หรือผนัง ส่วนล่าง) แล้วพยายามติดต่อสอบถามผู้รู้ต่อไป อย่าพยายามซ่อมเอง เพราะอาจยิ่งเกิดปัญหา และอาจ เป็นอันตรายได้

             2. รั่วเนื่องจากรอยต่อของพื้นกับผนังไม่สนิท หรือระหว่างพื้นกับพื้นไม่สนิทกัน อาจเพราะระบบ โครงสร้าง อาคาร เป็นโครงสร้าง ระบบพื้นสำเร็จ ที่ก่อสร้างไว้ ไม่เรียบร้อย

            หรือเพราะเป็นระบบโครงสร้าง เป็นระบบ พื้นวางถ่ายน้ำหนักบนดิน (Slab on Ground) ซึ่งออกแบบให้เนื้อคอนกรีตพื้นไม่ต้องเชื่อมประสานกับคาน แต่ให้ถ่ายน้ำหนักพื้นลงไปที่แผ่นดินเลย โครงสร้างระบบที่ว่านี้ จึงอาจมีรอยรั่วตรงบริเวณรอยต่อ เพราะปูนทรายที่อุดไว้เสื่อมสภาพ หรือเสียหายจากแรงดันน้ำ

            แนวทางแก้ไข คงต้องพยายามหาแนวที่น้ำรั่วเข้า ให้ได้ (จะมีรอยหรือเส้นที่มีสีเข้มกว่าปกติ) แล้วอุดรอยเหล่านั้น ให้เรียบร้อยอาจจะด้วยซิลิโคนที่ยาตู้ปลา ก็พอไหว

             3. เกิดจากรูที่บริษัทกำจัดปลวกเขาเจาะเอาไว้ ตอนที่จะฉีดอัดน้ำยากำจัดปลวก แล้วไม่มีการอุดปิด ให้เรียบร้อย แนวทางการแก้ไข ก็คือจัดการอุดเสียให้เรียบร้อย

             4. ท่อน้ำที่ฝังในพื้นเกิดการรั่วแตก หมายถึงที่พื้นห้องอาจจะมีการฝังท่อน้ำเอาไว้ และอาจมีการขยับตัวของโครงสร้างทำให้ท่อแตก และแรงดันน้ำทำให้เกิดน้ำพุเล็กๆเกิดขึ้นที่พื้นห้องครับ

            กรุณาอย่าตกใจ กับสิ่งที่เกิดนี้ พยายามหาเหตุให้พบ แล้วแก้ไขเสีย หากยังหาเหตุไม่พบ หรือหาพบแล้ว แต่ แก้ไข ไม่ได้ กรุณาติดต่อผู้รู้ ( ผู้รู้แปลว่าผู้รู้ ไม่ได้แปลว่า ผู้ไม่ค่อยรู้แต่ช่างพูด)




18. เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ หลังน้ำท่วม

            ขอให้คิดเสมือนว่าเฟอร์นิเจอร์นั้นเป็นเครื่องใช้ เป็นพื้นบ้านและเป็นผนังบ้านอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น การแก้ไข เฟอร์นิเจอร์หลังน้ำท่วม ก็คงจะคล้ายกับการแก้ปัญหา เรื่องประตูหน้าต่าง เครื่องไม้ เครื่องมือ พื้นบ้าน ฝ้าเพดานบ้าน และผนังบ้านปน ๆ กันไป สรุปข้อคิดและแนวทางการแก้ไขไว้ดังต่อไปนี้

             1. พยายามเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างรวดเร็ว

             2. เฟอร์นิเจอร์ที่อมน้ำมาก ๆ เช่น โซฟานวมหรือนุ่น ที่นอนหากไม่จำเป็นอย่าเอากลับมาใช้อีกเลย เพราะตอนน้ำท่วม จะพาเชื้อโรค และสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าไปอยู่ภายในไม่น้อย แม้ตากแดดแห้งแล้ว เชื้อโรคร้าย ก็อาจยังคงอยู่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในระยะยาวได้

             3. เฟอร์นิเจอร์ประเภทติดกับที่ (Built In Furniture) ขอให้แก้ปัญหาเหมือนผนังและประตู คือต้อง ตรวจสอบ ความแข็งแรง ของโครงสร้าง สายไฟที่อาจจะฝังอยู่ในตู้ รูกุญแจและลูกบิด ทำการบำรุงรักษา ให้อยู่ ในสภาพ เรียบร้อย เหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิม

             4. คือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้ ไม่ควรเอาไปตากแดดโดยตรง เพราะจะทำให้แตก เสียหายได้ อีกทั้งยาม จะทาสีทับลงไป ก็ขอให้มั่นใจว่า เขาแห้งแล้วจริง ๆ ไม่เช่นนั้นสีจะลอกหมด ความชื้นจะฝังใน



19. น้ำท่วมช่องลิฟต์ ห้องเครื่อง หม้อแปลงไฟฟ้า

            น้ำท่วมลิฟต์ ห้องเครื่อง หม้อแปลงไฟฟ้า หรือส่วนที่เป็นเครื่องกลสำคัญต่างๆของอาคาร กรุณาอย่าซ่อมแซมเอง ให้เรียกบริษัท หรือช่างผู้รู้จริงมาตรวจสอบ และแก้ไขเสีย จะต้องเสียงบประมาณเท่าไรก็ต้องยอมนะครับ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และห้ามประมาทเด็ดขาดนะครับ  



20.  อยากยกบ้านทั้งบ้านให้สูงขึ้น ทำยังไง อย่างไร เท่าไร

            การยกบ้านให้สูงขึ้น หมายถึงการยกตัวโครงสร้างทั้งหมดของบ้านให้มีระดับหนีน้ำท่วมบ้าน เป็นสิ่งที่น่า สนใจ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากจะทำเองถ้าบ้านของท่านไม่ใช่บ้านไม้ และไม่ใช่บ้านที่มีน้ำหนักเบา เพราะหากเป็นบ้านที่ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าบ้านปูน) โครงสร้างของบ้านจะยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน หากยกบ้านขึ้น (ส่วนใหญ่จะด้วยแม่แรง แบบการยกรถยนต์) ตัวบ้านเอียง หรือบิด เพียงนิดเดียว บ้านก็จะแตกร้าว เสียหายวิบัติได้

            นอกจากนั้น บ้านปูนจะมีน้ำหนักมาก ทำให้ต้องมีเสาเข็มยาว ๆ มารับน้ำหนักบ้าน เสาเข็มนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นเสาเข็มปูน ที่มีเหล็กเส้น ผูกติดยึด ไว้กับตัวฐานราก เมื่อยก ตัวบ้านขึ้น ก็เป็นเพียงการยกแต่ตัวบ้าน ไม่สามารถยกเสาเข็ม ขึ้นมาด้วย การต่อฐานราก กับเสาเข็มใหม่ จึงเป็นเรื่องยาก ในอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องบ้านทรุดบ้านร้าวได้

            นอกจากเรื่องโครงสร้างแล้ว เมื่อยกบ้านปัญหาพวกสายไฟ ท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ ก็จะเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องตามมา ที่จะต้องตัดออกทั้งหมด แล้วต่อใหม่เข้าไป เมื่อยกระดับบ้านเสร็จเรียบร้อย หากท่อเหล่านี้ อยู่ใต้พื้นบ้าน บริเวณกลางๆบ้าน ย่อมจะตัดออกจากกัน ตอนจะยกบ้าน ได้ยาก หากตัดไม่หมด แล้วยกขึ้น ก็อาจไปดึงโครงสร้างของบ้านส่วนอื่นๆเสียหายได้

            การต้องการจะยกระดับบ้านทั้งหลังขึ้นมา (บ้านปูน) เป็นเรื่องที่ต้องปรึกษาผู้รู้จริง และมีประสบการณ์เท่านั้น และส่วนผู้รับเหมาก่อสร้าง ก็ต้องเป็นผู้รู้จริงด้วย มิเช่นนั้นท่านอาจจะเสียบ้านไปทั้งหลัง ส่วนราคาค่ายกบ้าน ก็แล้วแต่ระดับที่ยกขึ้น แล้วแต่ขนาดของตัวบ้าน แล้วแต่ลักษณะของตัวบ้าน โดยทั่วไป ราคาจะประมาณ 20% ถึง 400% ของราคาตัวบ้าน

            ส่วนบ้านไม้นั้น หากใช้เทคนิคไทยเดิมของเรา ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องยากนัก (บ้านไม้ แปลว่า ทั้งโครงสร้าง และองค์ประกอบเป็นไม้ ไม่ใช่โครงสร้างเป็นปูน มีเพียงผนัง หรือพื้น เป็นไม้เท่านั้น)



21. "ฝ่าวิกฤติด้วยความคิดบวก"

            ความคิดบวกหรือ Positive Thinking ฟังเสมือนกับเป็นลัทธิแก้อย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้วการมองภายในตนให้ครบถ้วนทุกด้าน แล้วเอาด้านที่เป็นบวกมาพิจารณาเป็นประเด็นในการจัดการปัญหา ชีวิตเราก็จะมีความสุขขึ้นไปพร้อมๆกับผู้รอบข้าง และ สังคมที่เราอยู่ร่วมนั้น

            การแก้ปัญหาทั้งหลายย่อมไม่มี "สูตรสำเร็จ" เป็นธรรมดา....
            บางทีเมื่อแก้ปัญหาด้วยการ "คิด" ไม่ได้.... ลองใช้การแก้ปัญหาด้วยการ "ยั้งคิด" บ้าง
            บางทีการแก้ปัญหาด้วย "ความรู้" ไม่ได้.... ลองใช้ "ความรู้สึก" ในการแก้ปัญหาบ้าง
            บางทีเราต้องไม่มองเฉพาะผล "ด้านนอก" แต่เราต้องเข้าใจปัญหาจาก "ภายใน" บ้าง
            พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้

            หากเราฝึกตนให้เป็น "คนกล้า" ที่มิใช่ลืมตัวกลายเป็นคน "บ้าบิ่น" แก้ปัญหาตามอารมณ์
            โดยเราแยกความแตกต่างของ "ความรัก" และ "ความหลง" ได้ชัดเจนเพียงพอ
            โดยเรารอบรู้และเข้าใจทั้ง "วิชาการ" และ "มนุษย์" ได้อย่างสมดุล
            เราจะหา "ข้อมูล" เพื่อการ "วิเคราะห์" อันนำมาซึ่ง "บทสรุป" เพื่อการปฏิบัติทั้งหลายได้
            พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้

            เราต้องไม่เป็นผู้ที่ "รู้มาก แล้ว คิดน้อย" หรือเป็นผู้ที่ "รู้น้อย แล้ว คิดมาก"
            เราน่าจะเป็นผู้ที่ "รู้น้อย ก็รู้ให้มากขึ้น เมื่อรู้มากพอแล้ว ก็อย่าลืมคิดให้มากขึ้น" ตามไปด้วย
            หากคิดมากขึ้นแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ได้..... ลอง "ยั้งคิด" ดูสักหน่อย
            พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้

 ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์  ตุลาคม ๒๕๕๔

            สังคมไทยจะต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ได้ เพราะธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน  การใช้เทคโนโลยีไปฝืนพลังแห่งธรรมชาติมากเกินไป การทำร้ายธรรมชาติ จะเกิดผลเช่นนี้เรื่อยไป  สังคมไทยจะต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ได้ เพราะธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน การใช้เทคโนโลยีไปฝืนพลังแห่งธรรมชาติมากเกินไป การทำร้ายธรรมชาติ จะเกิดผลเช่นนี้เรื่อยไป

            สำหรับบัญญัติ 21 ประการ ดูแลบ้านหลังน้ำท่วมนั้น คงเป็นบทความดี ๆ ที่ช่วยแนะนำให้ผู้ประสบภัยทั้งหลาย ได้กลับไปดูแล ปรับปรุงและฟื้นฟูบ้านที่ถูกน้ำท่วม ให้กลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมนะคะ ... กระปุกดอทคอมก็ขอได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปสักที "ฟ้าหลังฝน ต้องสดใสกว่าเดิมค่ะ" สู้สู
 



Thai PM warns Bangkok to brace for flooding




Thailand's premier warned Thursday that it was impossible to stop the kingdom's worst floods in decades gushing into Bangkok, ordering the city's sluice gates to be opened to tackle the "national crisis". Duration: 00:50 /
21 ต.ค. 2011 โดย AFP




21 ต.ค. 54 วิเคราะห์สถานการณ์น้ำ โดย อาจารย์ ศศิน เฉลิมลาภ
เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
(ด้วยการวิเคราห์รอบด้านและหลักการความเป็นไปได้ทำให้อาจารย์เป็นที่รู้จักในโลกไซเบอร์เพียงเวลาสั้นๆคะ)





จัดการไฟฟ้าช่วงน้ำท่วม



2011 10 21 Spring News - แนวทางผันน้ำผ่านกรุงเทพฯ
 





ลำดับเหตุการณ์น้ำท่วมโจมตีเมืองหลวง !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.gifeu.com/
Flood_SQA.jpg (3507×4960)



แผนที่หลีกเลี่ยงน้ำท่วม
ประชาชนที่ต้องการเดินทาง ขึ้น/ลง ภาคเหนือใต้

Update 22/10/2554
bypass1.jpg (1152×1656)

bypass3.jpg (842×595)



 พื้นที่สูง/ต่ำในกทม. 



flood_01.png (4224×3264)



 

 



 
 

 ระยะเวลาการเดินทางของมาให้ศึกษากัน : ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะว่า การเดินทางของน้ำจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง สามารถคำนวณได้ โดยที่ปริมาณน้ำและระยะเวลาน้ำที่ไหลต้องสัมพันธ์กับความลาดชันของท้องน้ำ และสภาพภูมิประเทศริมตลิ่ง จากรูปด้านบนจะเห็นว่า

จากจุดแรกที่ สถานีวัดน้ำ (C 2) จ.นครสวรรค์ มาถึงสถานีวัดน้ำ (C 13) เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ระยะทาง 96 กิโลเมตร ใช้เวลา 24 ชั่วโมง หรือ 1 วัน
จากเขื่อนเจ้าพระยา ถึง สถานี (C3) จ.สิงห์บุรี ระยะทาง 50 กม. ใช้เวลา 10 ซม.
จากสถานี (C3) จ.สิงห์บุรี ถึง สถานี (C35) บางบาล ระยะทาง 77 กม. ใช้เวลา 14 ซม.
จากสถานี (C35) บางบาล ถึง อ.บางไทร ระยะทาง 54 กม. ใช้เวลา 20 ซม.
จากสถานีวัดน้ำ อ.บางไทร ถึง กรุงเทพมหานคร จะใช้ระยะเวลา 24 ชม. หรือ 1 วัน ทั่งนี้ขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของน้ำทะเล ดังนั้น การวัดน้ำที่สถานีวัดน้ำ อ.บางไทร จึงต้องใช้เครื่องมือวัดความเร็วน้ำชนิดพิเศษที่เรียกว่า Side Looking






ครม. ไฟเขียวให้วันที่ 27-31 ต.ค. นี้ เป็นวันหยุดราชการ เฉพาะเขตน้ำท่วม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้อำนวยการ ศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เปิดเผยภายหลังประชุม ครม.คณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ ว่า ที่ประชุมมีมติให้วันที่ 27-28 และวันที่ 31 ต.ค.เป็นวันหยุดราชการเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมค่ะ

กองทัพภาคที่ 1 (1st Army Area)ฝากประชาสัมพันธ์ ประชาชนในพื้นที่ นนทบุรี, ปทุมธานี และ กทม. ที่ประสบปัญหาอุทกภัยสามารถขอรับความช่วยเหลือจาก ศบภ.ทภ.1 โทร. 02-280-3977 และ 02-2815443 หรือบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน) โทร. 02-2811178 ขอบคุณค่ะ

11.45  ฝากกระจายข่าวด้วยนะคะ ช่วยส่งต่อกันเยอะๆนะคะ วันนี้ เครือข่ายองค์กรงดเหล้า นำเรือ 4 ลำ เรือเครื่อง 1 ลำ เรือพาย 3 ลำ ไปอยู่บริเวณ พหลโยธิน 62 ถึง เซียร์รังสิต ใครมีญาติต้องการย้ายออกด่วน โทร 0812081899 029483300 เครดิตคุณ Aina Tatiyabovonchai...

11.40น. ตอนนี้ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเป็นศูนย์อพยพ.. จากการช่วยเหลือของอาสาฯ มูลนิธิร่วมกตัญญู เมื่อคืนที่ผ่านมาอพยพมาจากศูนย์ ม.ธรรมศาสตร์ประมาณ ร้อยกว่าสถานีแล้วคะ ตอนนี้สามารถรองรับได้อีก เพราะเมื่อคืนมีข่าวว่าพึ่งมีคนมาจากศูนย์ธรรมศาสตร์ 500คน แต่กกท. สามารถรับคนได้ถึง 2000 คนค่ะ การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือกกท. ร่วมช่วยน้ำท่วม โดยเตรียมปรับสนามราชมังคลากีฬาสถาน เป็นศูนย์อพยพชั่วคราว ยืนยันมีความพร้อมทุกด้าน รวมทั้งมีรปภ.ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ตลอด 24 ช.ม. ..สอบถามเพิ่มเติม โทร. 081-9387496 หรือ 02-3690999

11.35 น. จากทวิตเตอร์ คุณพาที สารสินค่ะ"ถึงเวลาที่จะบอกว่า น้ำได้เริ่มเข้าทางเหนือของสนามบินแล้ว เพราะฉะนั้น ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า นกแอร์จะหยุดทำการบินตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไป สำหรับเที่ยวบินที่ได้ออกมาแล้วจากเมืองต่างๆ จะถูกย้ายไปลง ที่สุวรรณภูมิ และจะหยุดให้บริการ ไปก่อนถึงวันที่ 1 พย"

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต เปิดศูนย์อพยพ สามารถรองรับได้ 1,000 คน เปิดรับผู้อพยพ พรุ่งนี้วันแรกค่ะ by ศปภ.ศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย


  


กปน.ยันผลิตน้ำได้ปกติ กฟน.ยันจ่ายไฟได้ทุกพื้นที่



การประปานครหลวงยืนยัน ยังสามารถผลิตน้ำประปาได้ตามปกติ ส่วนในเรื่องของสีและกลิ่นนั้นอาจจะมีปัญหาเล็กน้อย ซึ่งทางการประปานครหลวงกำลังทำการแก้ไข คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน พร้อมยืนยันขนาดนี้ผลิตน้ำประปาได้ทั้ง 4 สถานี 

ส่วนการไฟฟ้านครหลวงยืนยันยังจ่ายไฟฟ้าได้ตามปกติแม้จะมีน้ำท่วมขังในพื้นการไฟฟ้า โดยมีระบบการควบคุมในการตรวจสอบการจ่ายไฟ ยืนยังคงจ่ายไฟไปในพื้นที่ได้ตามปกติ 



  

แผนผังเส้นทางน้ำบริเวณ กทม.และปริมณฑล...ล่าสุด..


เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการสายการบินนกแอร์ประกาศหยุดบินตั้งแต่เที่ยงวันนี้ - 1 พ.ย.เนื่องจากน้ำท่วมสนามบินดอนเมืองบางส่วน

 นกแอร์หยุดบินหลังน้ำทะลักเข้าทิศเหนือสนามบินดอนเมือง
นกแอร์จะเริ่มกลับมาบินวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่วนวันทูโก ยกเลิกบินลงดอนเมืองตั้งแต่ 15 น.วันนี้ ย้ายทุกไฟลต์ไปสุวรรณภูมิ



นายพาที สาสิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการสายการบินนกแอร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @patee122 ว่าขณะนี้สายการบินนกแอร์ได้หยุดให้บริการตั้งแต่เวลา12.00น. เนื่องจากน้ำได้ทะลักเข้าสู่บริเวณทางทิศเหนือของท่าอากาศยานดอนเมืองแล้ว ทำให้ไม่สามารถทำการบินได้

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในบริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง ริมถนนด้านหน้าวิภาวดีรังสิต ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้น้ำหินคลุกมาทำเป็นแนวกั้นเพื่อไม่ให้น้ำทะลักเข้ามา เช่นเดียวกับรถประจำทาง สาย 29, 510 มุ่งหน้ามาดอนเมืองก็หยุดให้บริการที่บริเวณหน้าวัดดอนเมือง โดยพนักงานขับรถแจ้งว่า ไม่สามารถฝ่ากระแสน้ำไปได้ เพราะรถอาจจะดับและพังได้ ขณะที่บนถนนวิภาวดี รังสิตขาออก ฝั่งตรงข้ามอาคารภายในประเทศ 1 ที่เป็นที่ทำการของศปภ.ขณะนี้มีระดับน้ำท่วมสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร ส่วนฝั่งขาเข้าอยู่ที่ราว 5 เซนติเมตร ซึ่งยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และขยายวงกว้างไปถึงหน้าอาคารคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่เข้ามาถึงในบริเวณสนามบินดอนเมืองแต่อย่างใด

Source : news center/posttoday/matichon.co.th



กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ รายงานสถานการณ์แม่น้ำเจ้าพระยา น้ำจะขึ้น 2 ครั้ง คาด สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 2.12 ม.

กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ รายงานสภาวะระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ ในวันที่ 25 ตุลาคม 2554 น้ำขึ้น 2 ครั้ง ในเวลา 05.13 น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง 2.12 ม. และในเวลา 16.40 น. คาดว่าจะสูงกว่าระดับทะเลปานกลาง 2.30 ม.

ทั้งนี้ จากปริมาณการระบายน้ำในปัจจุบัน คาดว่าในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงในวันที่ 27 - 31 ตุลาคม 2554 จะสูงกว่าระดับทะเลปานกลางประมาณ 2.45 ม.

Source : News Center /  INN /  AFP









รวมคลิปข่าวเก่าไว้แบบPlaylistลดความหนืดในการเปิดหน้าเว็บคะ
(กดทีเดียวจะเล่นไปเรื่อยๆ หรือ สามารถเลือกชมตอนที่ต้องการได้โดยกดลิ้งที่
Playlistคะ)