ขอแปะประเด็นห่วงใยไว้นิด เพราะคิดว่ามันสำคัญอยู่เหมือนกันนะ
คนที่ชอบใช้คำพูดดูถูกคนอื่นว่า"ลาว"จนเป็นปัญหากับเพื่อนบ้านบ่อยๆ โปรดเปลี่ยนจากคำว่าลาวเป็นLowหรือคำอื่นเถิ้ดดดดด ..ใจเขาใจเรา ไม่มีใครชอบโดนด่าแบบเหมารวมทั้งนั้น ยังไงก็ห้ามคนประเภทชอบกดคนอื่น ให้เลิกดูถูกคนอื่นก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..เวลาคนเราจะด่าจะดูถูกใครก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเขา แล้วเคยรู้เคยเข้าใจบ้างไหมว่าประเทศอื่นเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเราเลย อย่าฝังใจกับข้อมูลเก่าๆ ยึดติดสถิติที่ว่าไทยเหนือกว่าประเทศอื่นเขา อย่างน้อยก็ควรละอายใจกับคนไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศบ้าง
หากไม่คิดสร้างสรรค์ก็อย่าทำลาย!
เคยได้คุยกับแรงงานต่างชาติและเพื่อนของเพื่อน(ที่ไปต่อโทต่างประเทศ)หลายๆคนมาเล่าให้ฟัง คนเหล่านี้กระจายตัวไปหลายประเทศ เรียนสูงและฐานดี มีอุดมการณ์เดียวกันอย่างแรงกล้า ฟังแล้วทั้งน่ายกย่องและน่าใจหายในเวลาเดียวกัน.. พวกเขาเรียนรู้สิ่งต่างๆกอบโกยสิ่งต่างๆให้มากที่สุดเพื่อเอากลับไปพัฒนาประเทศชองเขาให้ได้มากที่สุด เพราะเขาไม่อยากโดนประเทศที่ไม่ได้ดีไปกว่าเขามาดูถูก อยากให้พวกมีทัศนคติอคติได้ฟังได้คิดบ้าง ไม่ใช่คิดถึงแต่เงินที่จะเข้ากระเป๋าตัวเองได้มากที่สุด
เรื่องน่าอายที่แสนงามหน้าอีกเรื่อง คือ คนที่ติดต่องานเป็นแรงงานต่างชาติเหมือนกัน พวกเขานิยมการซื้อทองส่งกลับไปให้คนที่ประเทศเขามากกว่าส่งเงินกลับไป พวกเขาจะเตือนกันปากต่อปากให้ระวังการค้าขายกับคนไทย เพราะคนไทยชอบขี้โกงชอบหลอกลวงเขา ฟังแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ..แหะๆ คนไทยด้วยกันยังหลอกกันเองเลยค่าาาา เฮ้อ ถึงจะไม่รู้ต้นเหตุที่ไปสร้างชื่อเสียเป็นใครก็ตาม แต่สุดท้ายคนไทยก็โดนเหมายกประเทศไปอย่างงามหน้า คงต้องประนามคนในบ้าน คนในประเทศเราเองก่อนนั่นแหละถึงจะถูก ถ้าคนในบ้านทำถูกแล้วตัวเองกว่าคนอื่นดีจริงมันก็คงไม่เป็นปัญหาอย่างที่เขาว่า ในสังคมเรามีคนประเภทไม่รู้จริงแต่มาชี้แนะเยอะ รู้จริงก็ไม่ชี้แนะแล้วยังงกความรู้ก็แยะ แต่ประเทศอื่นเขาถ่ายทอดให้ลูกหลานในประเทศเขาได้เรียนรู้ให้ได้มากที่สุดแบบไม่มีกั๊ก เพื่อให้คนของประเทศเขาฉลาดประเทศของเขาพัฒนา แล้วบ้านเราจะคิดได้เมื่อไหร่แบบนี้เมื่อไหร่หนอ
มึงไทยมาก วลีฮิตฟิลิปปินส์ด่าระบาดเน็ต
มึงไทยมาก..!! อัตลักษณ์แห่งความดักดาน
และประเด็นใหญ่ตอนนี้ก็ในกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพจเกี่ยวกับการทำความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านต่างๆเพื่อต้อนรับอาเซียน(หากันเอาเองในเฟสบุคนั่นแหละ) ก็มีคนไทยไปสร้างความเกรียนคีย์บอร์ดให้อับอายขายขี้หน้าดราม่างอกกันอีกแล้ว คนไทยด้วยกันเองเข้าไปอ่าน ยังได้แต่กุมขมับปวดตับกับพฤติกรรมมึงไทยมากจริงวุ้ย
คำโบราณที่สอนใจมีเป็นเข่งเป็นโหล ชอหยิบมา 2พฤติกรรมชวนโดนเกลียดขี้หน้าและโดนนินทาลับหลัง เพราะไม่มีใครชอบคนประเภทนี้หรอก
..อย่ายกตนข่มท่าน
..อย่ายกหางตัวเอง
ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์ บางคนก็ปลูกฝังค่านิยมผิดๆให้ลูกหลานตัวเองแท้ๆแถมบางคนก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นแต่เอามาอวดเพื่อจะกดให้คนอื่นดูต่ำลงแล้วตัวเองดูสูงขึ้น..แค่นั้น และพวกที่ชอบเล่าความดีตัวเองจนน่าเบื่อก็เหมือนกัน คนอื่นนอกจากจะเบื่อฟังแล้วก็ยังคิดว่าไอนี่มันท่าจะบ้าหลงตัวเองมาก.. คนเราทุกวันนี้หากไม่เจอเจอคนประเภทนี้ในสังคม คงแปลกเนอะ!
GT.
16.01.2013
ปล. ดราม่ามีอีกเยอะ อย่างเรื่องหนังโป๊ที่คนไทยทำปิดหูปิดตาตัวเองแต่เป็นตลาดซื้อขายเรื่องแบบนั้นตลาดใหญ่ของเอเชียเชียวนะ นางแบบแมคกาซีนก็แทบแก้ผ้ายกแผงหนังสือ ลองไปดูในคลิปสัมพาษณ์มิยาบิรายการวู้ดดี้ก็มีพูดประเด็นนี้ช่วงนึง ให้ชาวโลกได้ฮาสนั่นหวั่นไหว จะบอกว่าขี้อายหรือไม่ยอมรับความจริง? ..(ได้แต่ขำแห้งๆ เหอ เหอ เหอ)
ขอยกบทความดีๆจาก romyenchurch
ไม่รู้ไม่ชี้
ใครที่ไม่เคยได้ยินคำว่า "ไม่รู้ไม่ชี้" คงจะเชยมากๆ เพราะนอกจากจะได้ยินได้ฟังจาก คนอื่นพูดแล้ว ตัวเองก็คงได้พูดคำนี้ด้วย ความหมายของมันก็คือ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่เอาใจใส่ บุคคลที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องและไม่เอาใจใส่มี 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้เรื่องจริงๆ ฉะนั้นเขาจึงไม่เอาใจใส่ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขารู้เรื่องแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ทำเป็นไม่เอาใจใส่ เพราะขืนทำตัวเป็นผู้รู้และสนใจกับสิ่งที่ไม่เป็นคุณต่อตนเอง เปลืองตัวเปล่าๆ ฉะนั้นทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้จะดีที่สุด ในสังคมเรามีคนหลากหลาย แต่ผมขอแบ่งออกเป็นสามกลุ่มดังนี้
1. พวกชอบชี้ (ทั้งๆ ที่ไม่รู้จริง) การแสดงความคิดเห็นระหว่างกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ ผมสนับสนุนเต็มที่ในการแสดงออก แง่คิดในมุมมองต่างๆ แต่มีคนบางประเภทที่ชอบอวดรู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้จริง ชอบชี้แนะในสิ่งที่ตนไม่รู้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครมองดูเขาไร้คุณค่าในสายตาของสังคม ความรู้สึกเช่นนี้เป็นอันตราย เป็นความโง่เขลา ที่ว่าเป็นคนเขลาเพราะนิยามของคนเขลาคือ บุคคลที่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้แต่ชอบโอ้อวดความรู้ เป็นพวก ชอบชี้ ในสิ่งที่ตัวไม่รู้
2. พวกรู้แต่ไม่ชี้ บางทีเราเรียกสังคมกลุ่มนี้ว่า พวกอมภูมิ พวกที่รู้แต่ไม่ยอมชี้แนะ อาจเป็นเพราะหาคนอยากรู้อยากรับการชี้แนะไม่ได้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์เรามีความหยิ่ง ไม่อยากเสียหน้า ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ฉะนั้นเขาจึงทำตัวไม่รู้ไม่ชี้เสีย บางพวกไม่ยอมชี้แนะ ใครเพราะหวง กลัว และระแวง เกรงไปว่าคนอื่นจะรู้เท่ากับตนหรือเหนือตน แต่ก็มีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีใจกว้าง มีจิตสาธารณะ ปรารถนาจะเห็นเพื่อนมนุษย์มีความสุขและก้าวหน้าทั่วหน้ากัน เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “รู้และพร้อมชี้แนะ”
3. พวกรู้และพร้อมชี้แนะ ผมมีเพื่อนเชื้อสายจีน เขาเล่าให้ผมฟังว่า ชาวจีนสมัย โบราณมีจอมยุทธหลายสำนัก แต่ละสำนักจะมีปรมาจารย์ มีเคล็ดลับในการต่อสู้ มีไม้ตายจัดการ กับฝ่ายตรงข้าม แต่ปรมาจารย์เหล่านี้กลัวลูกศิษย์ทรยศหักหลังคิดล้างครู ท่านเหล่านี้จะเก็บความ สุดยอด บางกระบวนท่าไว้เพื่อปราบคนทรยศ เมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความสุดยอด ไม้ตายต่างๆ ก็หดหายไปเหลือไว้แต่ลีลา แต่ไม้ตายนั้นได้ตายไปกับปรมาจารย์ นี่คือตัวอย่าง รู้แต่ ไม่ชี้
2. พวกรู้แต่ไม่ชี้ บางทีเราเรียกสังคมกลุ่มนี้ว่า พวกอมภูมิ พวกที่รู้แต่ไม่ยอมชี้แนะ อาจเป็นเพราะหาคนอยากรู้อยากรับการชี้แนะไม่ได้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์เรามีความหยิ่ง ไม่อยากเสียหน้า ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ฉะนั้นเขาจึงทำตัวไม่รู้ไม่ชี้เสีย บางพวกไม่ยอมชี้แนะ ใครเพราะหวง กลัว และระแวง เกรงไปว่าคนอื่นจะรู้เท่ากับตนหรือเหนือตน แต่ก็มีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีใจกว้าง มีจิตสาธารณะ ปรารถนาจะเห็นเพื่อนมนุษย์มีความสุขและก้าวหน้าทั่วหน้ากัน เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “รู้และพร้อมชี้แนะ”
3. พวกรู้และพร้อมชี้แนะ ผมมีเพื่อนเชื้อสายจีน เขาเล่าให้ผมฟังว่า ชาวจีนสมัย โบราณมีจอมยุทธหลายสำนัก แต่ละสำนักจะมีปรมาจารย์ มีเคล็ดลับในการต่อสู้ มีไม้ตายจัดการ กับฝ่ายตรงข้าม แต่ปรมาจารย์เหล่านี้กลัวลูกศิษย์ทรยศหักหลังคิดล้างครู ท่านเหล่านี้จะเก็บความ สุดยอด บางกระบวนท่าไว้เพื่อปราบคนทรยศ เมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความสุดยอด ไม้ตายต่างๆ ก็หดหายไปเหลือไว้แต่ลีลา แต่ไม้ตายนั้นได้ตายไปกับปรมาจารย์ นี่คือตัวอย่าง รู้แต่ ไม่ชี้
ผมหวังว่าผู้อ่านจะมีใจกว้างไม่อมภูมิ พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ส่วนรวม ให้สิ่งดีๆ ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิทยาการ ศิลปวัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ได้ถ่ายทอดกันมา ผมรู้สึกประทับใจที่มีคนมากมายในสังคมขณะนี้กำลังแบ่งปันองค์ความรู้และ ประสบการณ์แก่สาธารณชนโดยไม่คิดมูลค่า เขาทำเป็นวิทยาทาน
ผมอยากจะเห็นสังคมเราเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับองค์ความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ พวกเราจะเจริญเติบโตไปด้วยกัน ฉะนั้นขอให้ ผู้รู้มีน้ำใจที่จะชี้แนะด้วย
ขอผู้อ่านพิจารณาดูกันเองว่า เป็นบุคคลประเภทไหน
1. ชอบชี้แนะทั้งๆ ที่ไม่รู้
2. รู้แต่ไม่อยากชี้แนะใคร
3. ยินดีเสมอที่จะชี้แนะในสิ่งที่ตนรู้